ยิ่งมืดมิด ยิ่งใกล้สว่างพลวัต2015
ดัชนีตลาดหลุดแนวรับแล้วแนวรับเล่า จากเหนือ 1,480 จุด มายืนเหนือระดับ 1,410 จุด ทำให้นักลงทุนหลายต่อหลายคนนึกถึงคำว่า ล้างพอร์ต ขึ้นมาโดดเด่น
ดัชนีตลาดหลุดแนวรับแล้วแนวรับเล่า จากเหนือ 1,480 จุด มายืนเหนือระดับ 1,410 จุด ทำให้นักลงทุนหลายต่อหลายคนนึกถึงคำว่า ล้างพอร์ต ขึ้นมาโดดเด่น
ยิ่งนายกรัฐมนตรี ประกาศบอกว่า จะเลื่อนการปรับครม.ออกไปภายในเดือนกันยายนด้วยแล้ว หลายคนก็เริ่มเชื่อโดยไม่ต้องมีหลักฐานอะไรว่า ดัชนีน่าจะหลุดแนวรับไปที่ระดับ 1,380 จุดกันเลยทีเดียว
เหตุผลในความเชื่อดังกล่าว เลื่อนลอยพอๆ กับความเชื่อที่ว่า สามารถใช้อำนาจเผด็จการทหารแก้ประเทศให้เป็นประชาธิปไตยนั่นแหละ
โดยข้อเท็จจริง ไม่มีดัชนีตลาดหุ้นที่ไหนในโลกนี้ เวลาที่วิ่งขึ้นหรือดิ่งลง จะเป็นขาเดียวตลอด เพราะพฤติกรรมของนักลงทุนจะเกิดปฏิกิริยาในลักษณะพฤติกรรมร่วม ไม่ว่าจะเป็น “ความฉลาดของฝูงชน” (wisdom of the crowd) หรือ “ความบ้าคลั่งของฝูงชน” (madness of the crowd) ที่มีลักษณะขึ้นหรือลงแบบขั้นบันไดเสมอ กลายมาเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่นักวิเคราะห์ตลาดเก็งกำไรทั้งหลายใช้กันอยู่
ในยามตลาดเป็นขาขึ้น นักลงทุนจะมองท้องฟ้าเห็นสวรรค์ถึง 7-9 ชั้น แต่ในยามขาลง จะเห็นแต่นรกจนถึงอเวจีชัดเจนมาก ซึ่งล้วนเป็นอารมณ์ที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น
ภาษิตจีนเก่าแก่ประโยคหนึ่งสำหรับหุ้นในยามขาลงเพราะวิกฤตศรัทธาต่อผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ ที่นักลงทุนต้องเตือนสติตนเองเอาไว้คือ “ยิ่งราตรีมืดมิดเท่าใด ยิ่งใกล้สว่างเพียงนั้น”
แนวคิดแบบล้างพอร์ตที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยพากันคิดในยามนี้ แม้จะสอดรับกับสถานการณ์พอสมควร แต่ก็พึงตั้งบนฐานของความรู้และการศึกษาพฤติกรรมของตลาดให้ถ่องแท้เสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปรากฏการณ์ “เสียของ” ขึ้นได้ง่ายมาก
การล้างพอร์ต คือการขายหุ้นในพอร์ตที่ถืออยู่ทั้งหมดจนเกลี้ยงเนียนใสสะอาด เหลือไว้แต่เงินสด โดยยอมตัดขาดทุน หรือกำไร เพื่อรอจังหวะกลับเข้ามาซื้อหุ้นที่จุดต่ำสุดอีกครั้ง หรือไม่ก็เลิกเข้าตลาดหุ้นไปเลย
การล้างพอร์ตโดยยอมตัดขาดทุน (ซึ่งส่วนใหญ่แต่ละครั้งมากพอสมควร) มักจะเกิดขึ้นในกรณีของความรู้สึกมืดมนต่ออนาคตในการเก็งกำไร ซึ่งมีสาเหตุหลายประการคือ
– มูลค่าปัจจุบันของพอร์ตลดต่ำกว่าครึ่งของทุนที่ลงครั้งแรก
– ล้มเหลวที่จะรู้จักคำว่า ตัดขาดทุน รู้ได้เมื่อสายเกินไป
– ล้มเหลวในการถัวเฉลี่ยจากการลงเพิ่มเมื่อติดลบ ซ้ำกันเข้าไป
– อารมณ์เสียจนมองไม่เห็นอนาคต
– ขาดประสบการณ์มากเพียงพอจนอ่านสัญญาณตลาดไม่ออก
คำถามที่ตามมาก็คือ การล้างพอร์ต จะช่วยให้ขาดทุนน้อยลง หรือแก้ตัวใหม่ได้มากขึ้นจริงหรือไม่ คำตอบคือไม่จริงเสมอไป เพราะจังหวะของการขึ้นลงของดัชนีหรือราคาหุ้นนั้น มีปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบหลากหลาย บางครั้งการล้างพอร์ตหรือปรับพอร์ต อาจจะทำให้ผิดพลาดขึ้นมาได้ หากขาดประสบการณ์และอ่านเกมของตลาดไม่ถูกต้อง
นักลงทุนหลายคน ที่คิดล้างพอร์ตเมื่อสายเกินไป พบว่า การล้างพอร์ตกลับกลายเป็นการขายทิ้ง สูญเสียโอกาสเมื่อหุ้นเกิดรีบาวด์กลับไปยังจุดที่เคยลงมา
การเตือนสติช่วงตลาดเป็นขาลง จึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำเช่นเดียวกันกับตลาดขาขึ้น เพราะถือเป็นการบริหารความเสี่ยงและความโลภทั้งสิ้น
จริงอยู่ สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยยามนี้ ไม่ดีเอาเสียเลย แถมสถานการณ์ในตลาดโลกก็ค่อนข้างเลวร้าย ชวนให้หดหู่มากกว่าคึกคัก เหมาะทำให้เกิดอารมณ์ขายมากกว่าซื้อ แต่ประสบการณ์ของเกมในตลาดหุ้น น่าจะทำให้นักลงทุนที่มีประสบการณ์เข้าใจได้ดีว่า ความอดทนเป็นปัจจัยหนึ่งของการเก็งกำไรอย่างมีนัยสำคัญ แต่การอ่านเกมของตลาดก็เป็นปัจจัยที่จำเป็นและต้องยึดกุมให้มั่น
ในแง่เทคนิค ดัชนีหุ้นไทยที่ร่วงลงรุนแรงเพราะข่าวร้าย เกิดขึ้นเพราะขาดปัจจัยบวกที่จะเข้ามาหนุนให้ตลาดเดินหน้าต่อไปได้ ผสมเข้ากับแรงเทขายของตัวเลขในตลาดคือต่างชาติและกองทุนรวมที่ขายกระหน่ำต่อเนื่อง ทำให้ยากจะรับมือในระยะสั้น แต่นั่นเป็นแค่ปรากฏการณ์ฉากหน้า เพราะยิ่งดัชนีลงแรง เท่ากับราคาหุ้นยิ่งใกล้เคียงกับพื้นฐานของกิจการมากเท่านั้น ภาวะฟองสบู่ของราคาที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ จะหายไป หรือผิดธรรมชาติมากเกินไป
นักวิเคราะห์และนักลงทุนที่อ่านสัญญาณเทคนิคเป็นจะรู้ดีว่า สถานการณ์ของตลาดยามนี้ ต้องซื้อมากกว่าขาย เพราะหุ้นจำนวนมากที่ลงมาแล้วโดยเฉพาะหุ้นพื้นฐาน กำลังรอโอกาสที่เรียกว่า กลับทิศจากลงเป็นขึ้น (divergence) กันทั้งสิ้น ดังนั้น เพียงแค่รอจังหวะของสถานการณ์ที่มีข่าวดีเข้ามาเพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะขับเคลื่อนให้พลิกกลับขึ้นไปได้ทั้งตลาดไม่ยากนัก
ภาวะเช่นนี้ หลายคนอาจจะมองว่า ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเหมาะจะล้างพอร์ตมากกว่า ยิ่งคำชี้แนะของผู้จัดการกองทุนที่มือหนึ่งขายเป็นระวิง ขณะที่ปลายลิ้นตวัดถึงใบหูว่าถึงเวลาซื้อแล้ว ยิ่งน่ากังขาอย่างยิ่ง แต่ประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ตอกย้ำว่า ภายในสัปดาห์นี้ การวิ่งกลับขึ้นแรงจะต้องเกิดขึ้น เพราะการเมืองเริ่มส่งสัญญาณทางบวกให้เห็นแล้วหลายประการ
หุ้นที่ลงเพราะนักลงทุนเสื่อมศรัทธารัฐบาลก็ขึ้นแรงได้เพราะความเชื่อมั่นกลับคืนมาอีก
ไม่เชื่อก็คอยดู