พาราสาวะถี
เสร็จสิ้นเรื่องของงบประมาณในชั้นสภาผู้แทนราษฎร เหลือแค่ขั้นตอนอีกขยักในชั้นวุฒิสภา จากนั้นรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็จะได้ใช้งบประมาณตามความต้องการ โดยเฉพาะการเดินสารพัดนโยบายประชานิยม แม้ว่าจะยังคงมีเสียงทักท้วง วิจารณ์เรื่องการจัดสรรงบในปีงบประมาณ 2563 อยู่ก็ตาม แต่ทั้งหมดจะต้องไปพิสูจน์กันในภาคปฏิบัติว่า สิ่งที่คิดกันมานั้นดีพอที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ และมีเสียงตอบรับมาดีหรือไม่
อรชุน
เสร็จสิ้นเรื่องของงบประมาณในชั้นสภาผู้แทนราษฎร เหลือแค่ขั้นตอนอีกขยักในชั้นวุฒิสภา จากนั้นรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็จะได้ใช้งบประมาณตามความต้องการ โดยเฉพาะการเดินสารพัดนโยบายประชานิยม แม้ว่าจะยังคงมีเสียงทักท้วง วิจารณ์เรื่องการจัดสรรงบในปีงบประมาณ 2563 อยู่ก็ตาม แต่ทั้งหมดจะต้องไปพิสูจน์กันในภาคปฏิบัติว่า สิ่งที่คิดกันมานั้นดีพอที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ และมีเสียงตอบรับมาดีหรือไม่
วันวาน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมทีมงานพรรคอนาคตใหม่ก็จัดเวทีอภิปรายงบประมาณนอกสภา โดยหัวหน้าพรรคน้องใหม่ไฟแรง ชี้ว่าประเทศไทยมีปัญหาหลัก 5 ข้อคือ ความเหลื่อมล้ำ สภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ การใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ ระบบรัฐราชการรวมศูนย์ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้น งบประมาณที่ดีควรจะต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาตรงนี้ ซึ่งคงไม่มีทางเกิดขึ้น ในเมื่อฝ่ายสืบทอดอำนาจ ปิดหูปิดตาที่จะฟังและมองเห็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามสะท้อนกลับไป
มีแต่เพียงคำพูดสวยหรูของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเท่านั้นที่อ้างว่า ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร เป็นรัฐบาลของทุกคนทุกพรรค แต่การกระทำมันสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดจากกิจกรรมวิ่งไล่ลุงและเดินเชียร์ลุง โดยที่พวกแรกดำเนินกิจกรรมได้อย่างสบายใจเฉิบ ส่วนฝ่ายหลังติดขัดมีปัญหาตั้งแต่ขั้นตอนการแถลงข่าวจัดกิจกรรม จนกระทั่งมาถูกกดดันสารพัด โดยเฉพาะประเด็นที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยสงสัยต่อการปฏิบัติของตำรวจคือห้ามใส่เสื้อที่มีข้อความวิ่งไล่ลุง
โดยเหตุผลของตำรวจนั้นอ้างว่ามีข้อความหมิ่นเหม่ จึงเกิดคำถามตามมาว่า ข้ออ้างที่ใช้ห้ามนั้น เป็นความผิดตามมาตราใด ของกฎหมายฉบับไหน เอาอำนาจอะไรมาห้ามประชาชนใส่เสื้อดังกล่าว ย้ำกันอีกครั้งว่า นี่เป็นรัฐบาลที่อ้างตัวว่ามาจากการเลือกตั้งแล้ว แต่เหตุไฉนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงยังคงติดตาม คุกคามฝ่ายเห็นต่างจากรัฐบาลสืบทอดอำนาจ จากพฤติกรรมดังกล่าวทำให้เชื่อแล้วว่า ไม่มีเรื่องไหนที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้จริง ๆ
อย่างไรก็ตาม จากกรณีสองกิจกรรมดังกล่าวทำให้เริ่มมีการมองต่อไปแล้วว่า นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อม็อบและนำไปสู่เหตุการณ์ม็อบชนม็อบหรือไม่ คงไม่น่าจะเดินไปถึงจุดนั้น หากฝ่ายถือหางเผด็จการไม่ไปยั่วยุหรือสร้างความปั่นป่วนอีกฝ่าย เพราะเห็นได้ชัดจากกิจกรรมที่สวนรถไฟว่ามีคนใส่เสื้อเชิดชูมาตรา 44 ไปก่อกวนกลุ่มวิ่งไล่ลุง ซึ่งเป็นเจตนายั่วยุ หวังให้เกิดเหตุรุนแรง ดีที่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ให้ราคา เนื่องจากมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทีของฝั่งที่จัดงานสอพลอลุงก็ไม่ได้ต่างจากคราวชุมนุมไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ยังเต็มไปด้วยความรู้สึกดิบเถื่อน ซึ่งการที่จะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่นั้น คงอยู่ที่ฝ่ายอยู่เบื้องหลังว่าต้องการจะให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นใด ในส่วนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จัดกิจกรรมในพื้นที่จำกัดนั้น เป็นการแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไม่จำเป็นต้องไปเคลื่อนไหวตามท้องถนน
แต่ฝ่ายที่ต้องการหาเรื่องก็ยังไม่หยุดชวนทะเลาะ เริ่มมีการปล่อยข่าวเป็นระลอกว่า เมื่อมีประชาชนมาร่วมกันหลักหมื่นคนเช่นนี้ ถือเป็นการประเมินกำลังพลก่อนที่จะก่อการใหญ่ ซึ่งนั่นถือเป็นความคิดที่ตื้นเกินไปและเป็นการมองที่ไม่ตรงกับสภาพปัญหา อย่างที่มีการพูดกันว่าวิ่งไล่ลุงเป็นรูปแบบใหม่ของการชุมนุม การจะล้มรัฐบาลสืบทอดอำนาจด้วยการก่อม็อบขนาดใหญ่นั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ ด้วยปัจจัยที่มีการวางกลไกเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้ามและสร้างข่าวเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง
ดังนั้น การเคลื่อนไหวในลักษณะแฟลชม็อบเพื่อรอเวลา จึงเป็นความเคลื่อนไหวที่อาศัยความอดทน แต่ไม่ใช่การทำให้แนวร่วมอารมณ์ค้าง โดยเฉพาะพวกฮาร์ดคอร์ เพราะคนเหล่านี้มีหนทางในการปลดปล่อยนั่นก็คือ โลกออนไลน์ จะเห็นได้ชัดว่าการนัดหมายรวมตัวในแต่ละครั้ง เกิดจากการใช้พลังผ่านโซเชียลมีเดียทั้งสิ้น ถือเป็นอาวุธที่ฝ่ายกุมอำนาจพยายามหาทางที่จะกำจัด แต่ไม่อาจจะทำได้ เนื่องจากมันจะสวนทางกับแนวคิดไทยแลนด์ 4.0 ที่ยุคเผด็จการเคยขายฝันไว้
การเลือกใช้แนวทางจัดกิจกรรมเมื่อพร้อม ระดมพลเมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัว แม้จะยังไม่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจล่มสลายได้ แต่ก็สามารถประเมินกระแสความไม่พอใจของผู้คนได้ต่อเนื่องและเป็นระบบ ยิ่งจำนวนคนเพิ่มมากขึ้นเท่าใด นั่นย่อมทำให้ผู้นำเผด็จการเกิดความเครียดมากขึ้นเท่านั้น และมันยิ่งจะไปเพิ่มภาระกดดันต่อรัฐบาลในที่จะต้องเร่งสร้างผลงานให้ปรากฏ ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังมองไม่เห็นแนวโน้มว่าประชาชนจะอยู่ดีกินดีได้อย่างไร
ความเคลื่อนไหวของมวลชนต่อต้านฝ่ายเผด็จการเที่ยวนี้จะต่างไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากไม่ได้เป็นการจัดตั้งมวลชนมาหนุนเหมือนอย่างที่เคยทำมา อาจมีบ้างแต่น้อยเหลือเกิน ม็อบที่เป็นธรรมชาติ การชุมนุมที่อาศัยความเบื่อหน่ายต่อการบริหารของฝ่ายกุมอำนาจ ถือเป็นพลังที่น่ากลัว ไม่ต่างอะไรจากม็อบของกลุ่มความเดือดร้อนแต่ม็อบส่วนนั้นสามารถเจรจาหาทางออกได้ แต่ม็อบไม่พอใจรัฐบาลนั้นไม่รู้จะหยิบยกเอาประเด็นไหนไปเจรจา
มีคำถามตามมาว่าแล้ว ธนาธรกับอนาคตใหม่ไปเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้หรือไม่ หากเป็นฝ่ายที่เชียร์เผด็จการอาจคิดและมีความเชื่อเช่นนั้นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ฝ่ายที่เป็นกลางและมีใจเป็นธรรม ย่อมมองเห็นว่าอาจมีส่วนบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะแกนนำจัดกิจกรรมนั้นล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาวที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ซึ่งสามารถพิสูจน์จากช่วงเผด็จการครองอำนาจได้ จึงเป็นต้นทุนคุ้มกันให้ข้อกล่าวหาที่ถาโถมใส่นั้นเบาบางลงบ้าง
กระนั้นก็ตาม หากพิจารณาจากปัจจัยที่ทำให้เกิดการวิ่งไล่และเดินเชียร์ ก็จะเห็นผู้ที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบ ถอนสลักของความขัดแย้งดังว่านั่นก็คือ “ลุง” คนนั้นนั่นเอง หากลุงยังคงท่องคาถาคนดี ทำดี ลุงยังมั่นใจในกลไกปกป้องการอยู่ในอำนาจของตัวเอง แล้วลุงก็ยังเดินตามเส้นทางของเผด็จการที่เคยเดินมาก่อนหน้านี้ โอกาสที่ลุงจะสะดุดขาตัวเองล้มก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน