หุ้นใหญ่โรครุมเร้า
*เดิมที “โมนิก้า” ตั้งใจเม้าท์เรื่องดี ๆ ก่อนเทศกาลตรุษจีน เพื่อเอาฤกษ์เอาชัยในการลงทุน แต่เผอิญเรื่องราวที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้เต็มไปด้วยข่าวร้าย จึงเกิดอาการห่อเหี่ยวก่อนเวลาอันควร มันเป็นสถานการณ์ที่บีบคั้นนักเล่นสถาบันอย่างเห็นได้ชัด เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มอ่อนปวกเปียกเป็นมะเขือเผา เพราะมันไม่มีประเด็นจูงใจให้นักเล่นเข้ามาไล่หุ้นกันอย่างเมามันไงล่ะคะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*เดิมที “โมนิก้า” ตั้งใจเม้าท์เรื่องดี ๆ ก่อนเทศกาลตรุษจีน เพื่อเอาฤกษ์เอาชัยในการลงทุน แต่เผอิญเรื่องราวที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้เต็มไปด้วยข่าวร้าย จึงเกิดอาการห่อเหี่ยวก่อนเวลาอันควร มันเป็นสถานการณ์ที่บีบคั้นนักเล่นสถาบันอย่างเห็นได้ชัด เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มอ่อนปวกเปียกเป็นมะเขือเผา เพราะมันไม่มีประเด็นจูงใจให้นักเล่นเข้ามาไล่หุ้นกันอย่างเมามันไงล่ะคะ
*ผนวกกับช่วงนี้ความวิตกกังวลเกี่ยวกับค่าฝุ่นควัน PM 2.5 เริ่มแผ่ขยายวงกว้างไปเรื่อย ๆ เท่ากับเป็นตัวบ่อนทำลายธุรกิจต่าง ๆ ในทางอ้อม หรือแม้กระทั่งการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่มากับนักท่องเที่ยวชาวจีน ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่อาจทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ เลวร้ายลงไปอีก “โมนิก้า” จึงอยากให้นักเล่นเฝ้าระวังหุ้นใหญ่มากเป็นพิเศษในช่วงนี้ เพราะเป็นกลุ่มหุ้นที่จะได้รับผลกระทบมากสุดนะจะบอกให้
*เนื่องจากเริ่มมีข่าวเม้าท์จากประเทศจีนว่า เชื้อมรณะดังกล่าวสามารถแพร่กระจายจาก “คนสู่คน” ซึ่งดูไปแล้วก็คล้ายกับเหตุการณ์ “โรคซาร์ส” แพร่ระบาด ซึ่งทำให้ธุรกิจหลายอย่างเป็นอัมพาตชั่วคราวในตอนนั้น “โมนิก้า” ถึงมองการแกว่งตัวไปมาของดัชนีในลักษณะ “ขึ้นไม่สุด ลงไม่ลึก” มันมาจากหุ้นใหญ่ต้องเผชิญกับสารพันปัญหา และเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ดัชนีทรุดตัวลงมายืนปิดที่ 1,574.94 จุด ลบไป 14.17 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.66 หมื่นล้านบาทพะยะค่ะ
*โดนหนักก่อนใครเพื่อนทุกครั้งที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคคงหนีไม่พ้น AOT อีกตามเคย เพราะเป็นด่านแรกที่ต้องเผชิญกับผลกระทบดังกล่าว และตราบใดยังไม่ตีกรอบให้เชื้อโรคอยู่ในวงจำกัด ก็คงเห็นราคาหุ้นไหลลงต่อเรื่อย ๆ “โมนิก้า” ถึงมองการลงมายืนปิดที่ 72 บาท ลบไป 2.25 บาท หรือลงไป 3% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.27 พันล้านบาท น่าจะไม่ใช่จุดต่ำสุดของเรื่องที่เกิดขึ้นในหนนี้เจ้าค่ะ
*เหมือนกับในรายของ PTTGC โดนถล่มเทขายหนักหน่วงตั้งแต่เช้า จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 50.50 บาท ลบไป 5 บาท หรือลงไป 9% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.96 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของข่าวลบที่มีเข้ามาไม่หยุดหย่อน ยิ่งเจอจีนประกาศเลิกใช้พลาสติกเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ยิ่งกดดันให้นักเล่นต้องสาดหุ้นทิ้งแบบไม่มีทางเลือก ซึ่งกลายเป็นเรื่องร้อนที่หัวเรือใหญ่อย่าง “คงกระพัน” ต้องมาชี้แจงสังคมหน่อยนะจ๊ะ
*คล้ายกับกรณีของ ERW โดนเทขายอย่างจริง ๆ จัง ๆ เป็นเวลาเดือนครึ่ง จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ระดับ 4.70 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 9.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 323 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่นักเล่นต้องเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ไม่ปกติ และมีต้นเหตุมาจากผลงานไม่ปัง แรงเทขายถึงไหลออกมาไม่หยุดหย่อน แถมมาเจอกับธุรกิจท่องเที่ยวมีโอกาสซบเซาหนักกว่าเดิม จึงไม่มีใครคิดจะถือหุ้นอีกต่อไปนะคะ
*อีกหนึ่งรายที่มีอาการไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ “โมนิก้า” คงพุ่งเป้าไปยังหุ้นนิคมอุตสาหกรรมอย่าง WHA เป็นรายถัดไปในทันที เพราะเมื่อมองดูจากการโค้งตัวลงแบบไม่มีลิมิต ย่อมทำให้เห็นว่าการยืนปิดที่ 3.16 บาท ลบไป 0.16 บาท หรือลงไป 4.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 931 ล้านบาท ไม่น่าจะหยุดลงเพียงเท่านี้! โดยจุดที่จะเป็นตัวตัดสินเรื่องทั้งหมดอยู่ที่แนวรับสำคัญบริเวณ 3 บาทเอาอยู่หรือเปล่า ?
*ส่วนหุ้นตัวท็อปของตลาดอย่างน้อง BAM ถูกเทขายทำกำไรออกมาแบบจัดเต็ม “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องปกติของหุ้นที่เล่นเกินเป้าหมายไปเยอะ จึงถูกเทขายอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงมาปิดที่ 24.70 บาท ลบไป 1.80 บาท หรือลงไป 6.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.02 พันล้านบาท เดี๊ยนถือเป็นเกมของกองทุนตัวแสบมากกว่านักเล่นก๊วนอื่น เพราะราคาหุ้นขึ้นมาถึงทุกวันนี้ได้ก็มาจากน้ำมือของนักเล่นกลุ่มดังกล่าวนะจ๊ะ
*ขนาดตัวเก๋าที่มีมือเคาะขวาเจ๋ง ๆ อย่างหุ้น AWC ยังกลายเป็นหุ้นต่ำจองอีกครั้ง “โมนิก้า” ไม่ได้รู้สึก “เสียใจ” หรือเกิดอาการ “สงสาร” แต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เห็นในวันนี้มันเกิดจากการตั้งราคาขายไอพีโอแพงเว่อร์ (พี/อี 230 เท่า) จึงถูกนักเล่นในตลาดลงโทษด้วยการขายหุ้นเมื่อเผยอหน้าขึ้นมาแรง ๆ วานนี้ถึงเห็นหุ้นลงมายืนปิดที่ 5.80 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 4.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 357 ล้านบาทไงล่ะคะ