พาราสาวะถี
หายใจโล่งได้ระดับหนึ่งและคงอีกไม่นานทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำสำคัญของพรรคอนาคตใหม่ ยังคงมีวิบากกรรมที่จะต้องเผชิญอีกหลายยก เอาแค่ปมกู้เงินหัวหน้าพรรคก็มีแนวโน้มว่าอาจจอดไม่ต้องแจว แต่แค่รอดถูกยุบพรรคจากคดีอิลลูมินาติ ก็ทำให้บรรดากองเชียร์ชุ่มชื่นหัวใจไม่น้อยแล้ว ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ได้ทีขย่มทันควัน นี่ไงความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมติดเบรกอย่าได้ปลุกม็อบ ระดมพลกันอีก
อรชุน
หายใจโล่งได้ระดับหนึ่งและคงอีกไม่นานทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำสำคัญของพรรคอนาคตใหม่ ยังคงมีวิบากกรรมที่จะต้องเผชิญอีกหลายยก เอาแค่ปมกู้เงินหัวหน้าพรรคก็มีแนวโน้มว่าอาจจอดไม่ต้องแจว แต่แค่รอดถูกยุบพรรคจากคดีอิลลูมินาติ ก็ทำให้บรรดากองเชียร์ชุ่มชื่นหัวใจไม่น้อยแล้ว ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ได้ทีขย่มทันควัน นี่ไงความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมติดเบรกอย่าได้ปลุกม็อบ ระดมพลกันอีก
แต่ดูท่าว่าจะไม่ทำให้ฝ่ายดักคอสมประสงค์ เมื่อทั้งธนาธรและปิยบุตร พูดตรงกัน การเดินงานในสภาก็ยังคงยึดแนวทางเดิมคือเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ อภิปรายด้วยเหตุและผล ตรวจสอบอย่างคนมีจรรยาบรรณ ไม่เล่นเกมสกปรก ส่วนหัวหน้าพรรคเมื่อไม่มีหัวโขนความเป็นส.ส.ก็ยังคงจะเดินสายพบปะประชาชน แลกเปลี่ยนข้อคิดความเห็น หากเป็นเรื่องทุกข์ร้อนก็จะได้รับกลับมาให้ส.ส.ของพรรค สะท้อนไปยังรัฐบาลผ่านกลไกของรัฐสภา
ถ้าไม่มีอคติ มองทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม ปล่อยให้นักการเมืองพรรคนี้และคนของพรรคนี้ได้แสดงตามสิทธิและเสรีภาพอันพึงมีตามรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างคงไม่เป็นปัญหาหรือทำให้ขบวนการสืบทอดอำนาจต้องทุรนทุราย แต่ที่เป็นไปอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในอก ความชิงชังที่บังอาจมาต่อกรกับเผด็จการสืบทอดอำนาจ มันจึงทำให้เกิดปฏิบัติการทุกวิถีทางในการที่จะล้มพรรคการเมืองดังว่า และจัดการกับแกนนำของพรรคนี้อย่างไม่หยุดหย่อน
ขนาดศาลยกคำร้องแล้ว ฝ่ายที่เคลื่อนไหวปลุกกระแสต้านลัทธิชังชาติที่อุปโลกน์กันขึ้นมา ยังมิวายยกยอปอปั้นคนที่ไปร้อง ยกย่องว่าเพราะหวังดีต้องการปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ คงลืมไปแล้วกระมังว่า ที่มันแตกแยกกันมาถึงทุกวันนี้เพราะอะไร และน่าจะไปสะกิดถาม สรรเสริญ แก้วกำเนิด คนที่เกือบเสียผู้เสียคนกับผังล้มเจ้ากำมะลอมาแล้วว่า การป้ายสีฝ่ายเห็นต่างด้วยการดึงฟ้าต่ำนั้นมันสมควรหรือไม่ ถือเป็นเกมสกปรกที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
การกล่าวหาใส่ร้ายคนอื่นอาจเป็นงานถนัดของคนหน้าดำและพวกที่อยู่เบื้องหลัง โดยลืมไปว่าความรักชาติ เทิดทูนสถาบันนั้นมันอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคนอยู่แล้ว หาใช่จำกัดแค่พวกหนึ่งฝ่ายใดไม่ ความจริงผู้นำอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เที่ยวโพนทะนาว่าไม่แบ่งฝ่ายเลือกข้าง ก็ควรจะสั่งการหรือเรียกแกนนำพวกต้านลัทธิชังชาติเข้าไปคุยให้เลิกการเคลื่อนไหวได้แล้ว
การปล่อยให้ทำโดยไม่มีหน่วยงานความมั่นคงใดไปตรวจสอบหรือตักเตือน มันก็เท่ากับเป็นการเปิดหน้าให้คนเห็นว่าที่อ้างความปรองดอง เรียกร้องความสามัคคีนั้น มันก็แค่ภาพที่สร้างขึ้นมาทาบทับให้เห็นว่าเผด็จการสืบทอดอำนาจจริงจังกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ทั้งที่ ความเป็นจริงเห็นกันทนโท่อาศัยความขัดแย้งที่คงอยู่นี่แหละ หล่อเลี้ยงอำนาจที่ตัวเองติดใจให้อยู่ได้ต่อไปตราบเท่าที่ขบวนการสืบทอดอำนาจจะถึงพอใจ
อดีตที่ผ่านมาสร้างบทเรียนอันล้ำค่าให้กับฝ่ายครองอำนาจทุกยุคทุกสมัย แต่ก็ไม่เคยมีใครที่จะใส่ใจกับประเด็นที่ว่า ยามมีอำนาจอย่าเหลิงอำนาจและอย่าย่ามใจว่าใครก็ไม่สามารถตรวจสอบ เอาผิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลติดหนวดที่วางแผน สร้างกลไกทุกอย่างไว้เป็นเกราะป้องกันในยามที่ตัวเองสืบทอดอำนาจอย่างดี ใครจะคิดว่ามันยังมีช่องว่างที่ทำให้เกิดการสะดุดหัวคะมำได้ ก็เรื่องส.ส.เสียบบัตรแทนกันของพรรคร่วมรัฐบาลที่คิดว่าสดใสอย่างภูมิใจไทยนั่นปะไร
หลักฐานมันมัดแน่น ที่เหลือจากนี้เป็นเรื่องของกระบวนการแล้วว่าจะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นออกมาในรูปแบบใด องค์กรอิสระที่จะรับลูกต่อจากนี้คงต้องคิดหาหนทางในการจะช่วยแก้ต่าง ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล เชื่อแน่ว่า เนติบริกรศรีธนญชัยคงให้คำปรึกษาและหาทางออกไว้ให้แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อมันเป็นร่างกฎหมายสำคัญเกี่ยวกับงบประมาณ แม้รู้ว่าปลายทางจะไม่มีอะไรเสียหาย แต่มันก็ต้องใช้เวลาในการพิจารณา
เว้นเสียแต่ว่า เมื่อเรื่องดังกล่าวถูกส่งไปยังองค์กรดังกล่าวแล้วรีบรับลูก ดำเนินการโดยเร็ว ด้วยเหตุผลเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุด นั่นก็อีกเรื่อง ทว่าจะเร่งรัดกันยังไงคงต้องหันกลับไปมองภาพลักษณ์ของตัวเองด้วยว่าเป็นการแสดงออกถึงความไม่เป็นกลาง สั่งได้จากฝ่ายสืบทอดอำนาจหรือเปล่า ซึ่งความจริงทุกอย่างเดินกันมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเหนียมอะไรกันอีก คนเขารู้กันไปทั่วแล้วว่าไผเป็นไผ ใครพวกใคร ใครเป็นกลางหรือไม่
เหมือนที่จับอาการของท่านผู้นำวันประชุมครม.สัญจรที่นราธิวาส ถึงกับฉุนเมื่อถูกจี้ถามเรื่องนี้ จนวันวานต้องสุมหัวกับ วิษณุ เครืองาม และ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพื่อหาทางออก อย่าลืมเป็นอันขาดนี่ปลายเดือนมกราคมแล้ว หากร่างกฎหมายงบประมาณล่าช้าออกไป เริ่มใช้ได้ในเดือนพฤษภาคมหรือช้ากว่านั้น เท่ากับว่าจะมีเวลาใช้จ่ายงบปี 63 กันแค่ 3-4 เดือนเท่านั้น แผนงาน นโยบายที่ประกาศว่าจะทำมันจะเดินกันอย่างไร
เป้าหมายเรื่องการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ลำพังโครงการแจกแหลกนั้น มันไม่เพียงพออย่างแน่นอน ครั้นจะมาอ้างว่าตัดขาดจากปัญหาดังกล่าว คนก็จะย้อนถามกลับไปว่าแล้วมาทำพฤติกรรมมักง่ายกันแบบนี้ได้อย่างไร หรือเคยตัว เหลิงอำนาจว่าไม่มีใครตรวจสอบได้ ความจริงหากเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นหลักการ และอ้างมาโดยตลอดว่ายึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง การกระทำครั้งนี้ของส.ส.ในสังกัดควรต้องมีบทลงโทษอย่างหนัก เพราะสร้างความเสียหายหลายชั้น
อาจอ้างได้ว่ามีธุระจำเป็นอย่างยิ่งยวด แต่ก็ควรจะปล่อยให้ 1 เสียงที่จะโหวตนั้นหายไปเลยหรือไม่ ทำไมจึงใช้วิธีเยี่ยงโจรเช่นนี้ หากคนที่ถูกลงคะแนนแทนไม่รู้ ก็ต้องหาให้ได้ว่าใครเป็นคนกดบัตรแทน อย่างที่ ชวน หลีกภัย ว่าไว้สิ่งนี้มันจะไม่เกิดขึ้นหากไม่สมคบคิดกัน ถือเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ อยู่ที่ว่าหัวหน้าพรรคต้นสังกัดจะใจใหญ่พอขอให้ลูกน้องแสดงความรับผิดชอบ เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองที่งดงามให้ประชาชนชื่นชมได้หรือไม่