ซื้อสวนไม่ไหว

*หากประเมินอารมณ์ของนักเล่นกลุ่มต่าง ๆ ในช่วงนี้จะเห็นว่า ทุกคนอยู่ในจังหวะ “ซึมเศร้า เหงาหงอย” จนไม่อยากเคาะขวารัว ๆ เมื่อเห็นหุ้นตกลงมาหนัก เพราะความวิตกกังวลเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อมรณะโคโรน่ายังฟุ้งกระจายไปทั่ว จนผู้คนมากมายจินตนาการไปถึง ขั้นนั้น..ขั้นนี้ ไม่หยุดหย่อน ผสมปนเปกับข่าวลือมากมายก่ายกองเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละชั่วโมง สภาพตลาดหุ้นทั่วโลกถึงได้เละเป็นโจ๊กไงล่ะคะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*หากประเมินอารมณ์ของนักเล่นกลุ่มต่าง ๆ ในช่วงนี้จะเห็นว่า ทุกคนอยู่ในจังหวะ “ซึมเศร้า เหงาหงอย” จนไม่อยากเคาะขวารัว ๆ เมื่อเห็นหุ้นตกลงมาหนัก เพราะความวิตกกังวลเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อมรณะโคโรน่ายังฟุ้งกระจายไปทั่ว จนผู้คนมากมายจินตนาการไปถึง ขั้นนั้น..ขั้นนี้ ไม่หยุดหย่อน ผสมปนเปกับข่าวลือมากมายก่ายกองเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละชั่วโมง สภาพตลาดหุ้นทั่วโลกถึงได้เละเป็นโจ๊กไงล่ะคะ

*ประเด็นนี้ทำให้ “โมนิก้า” ไม่กล้าคอมเมนต์ให้แฟนคลับทำตัวเป็นชาวสวนเหมือนรอบก่อน ๆ เพราะไม่รู้การควบคุมเชื้อร้ายกินระยะเวลายาวนานแค่ไหน ? ผนวกกับปัจจัยหนุนในประเทศก็ไม่เข้มแข็งอย่างที่ควรจะเป็น (ขนาดรัฐบาลโหวตผ่านงบ ยังเสียบบัตรแทนกันหน้าด้าน ๆ) เดี๊ยนถึงหมดหวังที่จะได้เห็นหุ้นไทยยืนสวนปัจจัยลบภายนอกที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนน่ะซี

*ถามว่าการทรุดตัวลงของดัชนีมาปิดที่ 1,524.15 จุด ลบไป 45.40 จุด หรือลงไป 2.89% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.91 หมื่นล้านบาท เป็นการปรับตัวลดลงที่มากไปสำหรับตลาดหุ้นไทยหรือเปล่า ? เดี๊ยนตอบได้ทันทีว่า น่าจะเป็นระดับที่มากกว่าตลาดหุ้นที่อื่น ๆ จึงไม่ต้องคิดประเด็นนี้ให้เสียเวลา เพราะควรเอาเวลาที่มีอยู่ไปประเมินผลกระทบที่จะตามมาเป็นลูกโซ่มีความรุนแรงแค่ไหน ? ซึ่งเป็นประเด็นที่เดี๊ยนให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกมาโดยตลอดเจ้าค่ะ

*คล้ายกับการมองค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยระดับปัจจุบัน..โอไหม ? ล้วนเป็นข้อมูลที่ “โมนิก้า” ชอบนำมาพร่ำสอนเป็นประจำเมื่อสบช่อง เพราะเหมือนเป็นการเฉลยข้อสอบล่วงหน้าให้แฟนคลับได้เห็นกันโต้ง ๆ ต่อจากนั้นค่อยนำข้อมูลดังกล่าวไปประเมินร่วมกับปัจจัยอื่น บรรดานักเล่นก็จะเห็นว่า ตราบใดที่ตลาดหุ้นไทยยังสามารถทำกำไรต่อหุ้นได้ในระดับ 100 บาท ดัชนีที่บริเวณ 1,500 จุดก็ลงทุนได้สบาย (พี/อี 15 เท่า)..จริงไหมตัวเอง!

*เหมือนกับการดิ่งเหวของหุ้น TOP ลงมายืนปิดที่ระดับ 48.50 บาท ลบไป 4.50 บาท หรือลงไป 8.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.51 พันล้านบาท พร้อมกับทำ new low ในรอบ 4 ปี 4 เดือน ถือเป็นจุดที่ลงมากเกินไปหรือเปล่า ? เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปดู BV อยู่ในระดับ 58 บาท ได้กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องออกมาเม้าท์มอยเพื่อชี้ให้เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในรอบนี้ก็เท่านั้นเองพะยะค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ CPN โดนถล่มอย่างหนักหน่วงเป็นช่วง ๆ จนทิศทางของหุ้นอยู่ในลักษณะ sideway down เป็นเวลานานถึง 15 เดือน “โมนิก้า” ฟันธงได้ทันทีว่า ทั้งหมดมาจากกำไรถดถอยลงเรื่อย ๆ จนทำให้กองทุนต้องลดพอร์ตหุ้นตัวนี้อย่างมีนัยสำคัญ แถมเที่ยวนี้มาเจอการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะที่ยังหาทางแก้ไม่ได้ ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจห้างเต็ม ๆ วานนี้ถึงเห็นหุ้นลงมานอนกลิ้งอยู่ที่ 57.50 บาท ลบไป 5.25 บาท หรือลงไป 8.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 822 ล้านบาท ท่ามกลาง P/E 26 เท่า มันไม่โสภาสถาพรเอาเสียเลยจ้า!

*อีกรายที่ซวยหนักจริง ๆ “โมนิก้า” คงโฟกัสไปที่น้อง MINT เพราะเจอผลกระทบด้านลบ 2 เด้งแบบเต็ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนี้สินที่เข้าไปลงทุนธุรกิจโรงแรมเพิ่มเติม แถมมาเจอกับจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงฮวบฮาบ หุ้นถึงกระโดดลงมาปิดที่ 31.25 บาท ลบไป 2.25 บาท หรือลงไป 6.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 820 ล้านบาท เดี๊ยนบอกได้คำเดียวว่า หุ้นคงไม่หยุดลงแค่นี้แน่ ๆ เพราะธุรกิจโรงแรมอยู่ในช่วงดาวน์เจ้าค่ะ

*เม้าท์ถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งที ก็ต้องให้พื้นที่สำหรับหุ้นที่ไปหากินต่างแดนอย่าง TKN สักนิดหนึ่ง เพราะปีนี้หมายมั่นปั้นมือกับธุรกิจในจีนมากเหลือเกิน จู่ ๆ เจอปัญหาแบบไม่ทันตั้งตัวเข้าแบบนี้ นักเล่นเลยหนีตายด้วยการสาดหุ้นออกมาเป็นแถว หุ้นถึงลงมากองอยู่ที่ 9.75 บาท ลบไป 0.85 บาท หรือลงไป 8% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 260 ล้านบาท เหมือนเป็นการบอกใบ้ขาลงรอบใหม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วนะจ๊ะ

*ตบท้ายกันที่หุ้นร้อนที่เต็มไปด้วยดราม่าอย่างเช่น ACE เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทุกครั้งที่ผู้ถือหุ้นใหญ่มีปัญหาเกิดขึ้น ย่อมส่งผลโดยตรงกับความมั่นใจของนักเล่นโดยตรง และหวยมักมาออกที่ราคาหุ้นเป็นประจำ วันนี้ถึงไม่ต้องถามว่า การอ่อนตัวลงมาปิดที่ 3.08 บาท ลบไป 0.12 บาท หรือลงไป 3.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.85 พันล้านบาท ใช่จุดที่ต้องซื้อไหม ? เพราะสิ่งที่ต้องถามคือ เส้นสายปึ้กเหมือนเดิมหรือเปล่า ?..อิอิอิ

Back to top button