พาราสาวะถี
เจอโจทย์ยากเข้าไปอีกขั้นทำให้สถานการณ์สร้างความเชื่อมั่นลำบากขึ้นไปอีกระดับ เมื่อกระทรวงสาธารณสุข แถลงตัวเลขการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พบคนขับแท็กซี่คนไทย 1 รายได้รับเชื้อ โดยที่เจ้าตัวไม่เคยมีประวัติเดินทางออกนอกประเทศ นั่นเท่ากับเป็นการยืนยันว่า ประเทศไทยพบการแพร่ระบาดจากคนสู่คนเป็นที่เรียบร้อย กรณีนี้แหละที่ทำให้ต้องมีการตื่นตัว เฝ้าระวังในพื้นที่ซึ่งมีคนจีนมาท่องเที่ยวและพำนักอาศัยกันอย่างเคร่งครัด
อรชุน
เจอโจทย์ยากเข้าไปอีกขั้นทำให้สถานการณ์สร้างความเชื่อมั่นลำบากขึ้นไปอีกระดับ เมื่อกระทรวงสาธารณสุข แถลงตัวเลขการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พบคนขับแท็กซี่คนไทย 1 รายได้รับเชื้อ โดยที่เจ้าตัวไม่เคยมีประวัติเดินทางออกนอกประเทศ นั่นเท่ากับเป็นการยืนยันว่า ประเทศไทยพบการแพร่ระบาดจากคนสู่คนเป็นที่เรียบร้อย กรณีนี้แหละที่ทำให้ต้องมีการตื่นตัว เฝ้าระวังในพื้นที่ซึ่งมีคนจีนมาท่องเที่ยวและพำนักอาศัยกันอย่างเคร่งครัด
เนื่องจากไม่มีใครยืนยันได้ว่า คนจีนเหล่านั้นแม้ไม่ได้เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นจะถือว่าเป็นผู้ปลอดเชื้อ ไม่มีโอกาสนำเชื้อมาแพร่ในประเทศไทยได้ อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงสาธารณสุขก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ได้ดำเนินการคัดกรองผู้สัมผัสเสี่ยงสูงกับคนขับแท็กซี่รายนี้แล้วจำนวน 13 คนซึ่งเป็นคนในครอบครัว 3 คนและผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอื่น ๆ 10 คน ไม่พบการติดเชื้อเพิ่มเติม และต้องขอบคุณแท็กซี่คนดังกล่าว ที่หลังมีอาการป่วยก็ทำการหยุดงานไม่ได้ออกไปขับรถ จึงไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้โดยสารคนอื่น
ที่เหลือคงเป็นเรื่องมาตรการของรัฐบาลหลังจากนี้แล้วว่าจะเอาอยู่หรือไม่ เพราะฟังจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังคงท่องตามสคริปต์เดิมคือ ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 ของโลกที่ได้ชื่อว่ามีขั้นตอนการป้องกันและควบคุมโรคตามหลักมาตรฐานสากล เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน และอาจเป็นที่หนึ่งของภูมิภาคเอเชียด้วย ไม่มีใครเถียง จากผลการป้องกันโรคซาร์สและไข้หวัดนกในอดีตเป็นบทพิสูจน์ แต่ความเชื่อมั่นทั้งหลายทั้งปวงมันอยู่ที่ฝ่ายบริหารทันการณ์และแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงทีหรือไม่
บนความโกลาหลและการเฝ้าระวัง ป้องกันตัวเองของประชาชนอย่างเข้าใจต่อสถานการณ์ สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลต้องช่วยเหลือดูแลไม่ให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์บนความตื่นตัวของประชาชนนั่นก็คือ หน้ากากอนามัย ที่เวลานี้พบว่าเริ่มขาดตลาด ไม่รู้ว่าเกิดจากการกักตุนหรือสินค้าหมดสต๊อกจริง ที่แน่ ๆ คือราคาเวลานี้ขยับไปหลายเท่าตัว หากรัฐบาลไม่ควบคุมเข้มข้น นี่ก็จะเป็นอีกหนึ่งความเหลื่อมล้ำในการเฝ้าระวังป้องกันโรคไวรัสร้าย ที่ผู้มีรายได้น้อยจะไม่มีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวเองขั้นพื้นฐาน
ฝ่ายค้านถือฤกษ์ 11 โมง วันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 รัฐมนตรี และงานนี้ฝ่ายค้านก็เหลือแค่ 6 พรรคเมื่อเศรษฐกิจใหม่ ได้ส่งหนังสือถึงผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อ้างมติพรรคขอทำงานเป็นอิสระขอถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งมันไม่ได้เหนือความคาดหมาย ในเมื่อเป็นพรรคใหม่และได้ส.ส.หน้าใหม่ ผลประโยชน์ที่หอมหวนย่อมเป็นตัวเย้ายวนชวนให้เคลิบเคลิ้มอยากไปลิ้มลองอยู่ฝั่งถือครองอำนาจ
ที่ลำบากใจคงหนีไม่พ้น มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เพราะกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบในพรรคไปเสียแล้ว แต่คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญใด ๆ ต่อพรรคฝ่ายค้านอีกต่อไป ท่าทีของคนพรรคเศรษฐกิจใหม่ในการโหวตหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมาก็ไม่ได้ยึดโยงเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว มิหนำซ้ำ การประกาศถอนตัวไปตั้งแต่วันนี้ ยังเป็นผลดีที่เสียด้วยซ้ำที่ระหว่างการเตรียมการซักฟอกจะได้ไม่ต้องมาระแวงพรรคร่วมฝ่ายค้านว่าจะมีใครเป็นไส้ศึกหรือไม่
ส่วนรายชื่อรัฐมนตรีทั้ง 6 รายนั้น ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพียงแต่ว่าจากเดิมวางไว้ 9 ที่หายไป 3 คนก็พอจะเข้าใจได้ไม่ว่าจะเป็น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อนุทิน ชาญวีรกูล และ อุตตม สาวนายน เพราะสองคนที่แนบแน่นกับขบวนการสืบทอดอำนาจ วันนี้ไม่ได้มีบทบาทนำในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเพราะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรวบทุกอย่างเอาไว้ในมือตัวเอง จึงต้องปล่อยให้ตกเป็นเป้าใหญ่ในการโจมตีของฝ่ายค้านไป ขณะที่รายของเสี่ยหนู นอกจากประเด็นซักฟอกยังไร้น้ำหนัก ยังมีเรื่องสายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาดอยู่ด้วย
สำหรับข้อกล่าวหาที่พรรคฝ่ายค้านหยิบยกมาเป็นประเด็นอภิปรายรัฐมนตรีทั้ง 6 รายนั้นก็แตกต่างกันไป แต่ในรายของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น ดูท่าว่าจะหนักหน่วงกว่าเพื่อน กับถ้อยคำของฝ่ายค้านที่ระบุว่า “เป็นผู้นำประเทศที่กร่างเถื่อน” ตามมาด้วยข้อกล่าวหามองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ปิดปากคนเห็นต่าง ชอบก่นด่าเมื่อถูกซักถาม ปล่อยให้มีการทุจริตเต็มบ้านเต็มเมือง ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง บริวารและพวกพ้อง เข้าข้างคนชั่วที่เป็นพวกโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ตามมาด้วยประเด็นแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำ และองค์กรในกระบวนการยุติธรรม โดยฝ่ายค้านสร้างวาทกรรมข้อกล่าวหาต่อท่านผู้นำว่า “เป็นยุคยุติธรรมหมดตรง” และแก้ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว ไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง ใช้งบประมาณแผ่นดินสร้างคะแนนนิยมให้กับตนเองและพรรค ที่สำคัญคงหนีไม่พ้นผลพวงจากการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่า เป็นผู้ไม่ยึดมั่นและศรัทธาต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ส่วนพี่ใหญ่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ใช่ย่อย ถูกกล่าวหา ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองและพวกพ้อง ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง สิ่งที่ฝ่ายค้านต้องพิสูจน์ให้สังคมเห็นก็คือข้อกล่าวหา “มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ” ประเด็นนี้ต้องมีหลักฐานมายืนยันให้ชัด ส่วนเรื่องฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตรงนี้ยังดูเป็นนามธรรม
ด้านพี่รอง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา มีข้อกล่าวหาบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ล้มเหลว ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการและท้องถิ่น ขณะที่ วิษณุ เครืองาม ถูกกล่าวหาใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น บังคับใช้และตีความกฎหมายโดยไม่ยึดหลักการและบรรทัดฐานที่ถูกต้อง จนทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องของอภินิหาร
ส่วนอีก 2 รายคือ ดอน ปรมัตถ์วินัย ก็หวังที่จะตีกระทบชิ่งไปถึงท่านผู้นำ ขณะที่ ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็มีแผลรอบตัวขึ้นอยู่กับหลักฐานฝ่ายค้านจะหนักแน่นขนาดไหน น่าสนใจในการตอบโต้คงเป็นรายของเนติบริกรศรีธนญชัยรอดช่อง เพราะเห็นการพาดพิงไปถึง ปิยบุตร แสงกนกกุล โดยกล่าวถึงภรรยาของฝ่ายตรงข้าม งานนี้เหมือนมีการกระทืบเท้าขู่ทำนองพร้อมซักฟอกกลับทุกกรณี ส่วนที่บอกว่าถ้าตอบไม่ได้ยกมือไหว้ก็จบ คำพูดแบบนี้ประสาจิ๊กโก๋ต้องบอกว่าเป็นท่วงทำนองกวนบาทานั่นเอง