กลัวไวรัส Vs เกรงใจจีน
ไวรัสอู่ฮั่นทำท่ากระทบยาว ตามคำแถลงของสาธารณสุขจีน เมื่อเช้าวันเสาร์ พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 2,102 คน วันอาทิตย์ 1,921 คน รวมเป็น 14,380 คน ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 46 และ 45 ราย รวมเป็น 304 ราย โดยยังมีผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีนรายแรกที่ฟิลิปปินส์ กลายเป็น 305 ราย
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
ไวรัสอู่ฮั่นทำท่ากระทบยาว ตามคำแถลงของสาธารณสุขจีน เมื่อเช้าวันเสาร์ พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 2,102 คน วันอาทิตย์ 1,921 คน รวมเป็น 14,380 คน ผู้เสียชีวิตเพิ่ม 46 และ 45 ราย รวมเป็น 304 ราย โดยยังมีผู้เสียชีวิตนอกประเทศจีนรายแรกที่ฟิลิปปินส์ กลายเป็น 305 ราย
ตัวเลขผู้ป่วยแซงหน้าโรคซาร์สไปแล้ว ซาร์ส ในปี 2003 มีผู้ป่วยทั่วโลก 8,000 คน เสียชีวิตเกือบ 10% เมอร์ส เมื่อปี 2012 มีผู้ป่วย 2,000 กว่าคน เสียชีวิต 30%
แม้ดูเหมือนอัตราเสียชีวิตน้อยกว่า แต่การระบาดยังไม่จบ ยังนับอัตราที่แท้จริงไม่ได้ ที่แน่ ๆ การแพร่ระบาดเร็วกว่า กว้างกว่า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกกว่า มากมายหลายเท่า ในยุคที่จีนเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 ทางเศรษฐกิจ เป็นแหล่งผลิต เป็นตลาดใหญ่ เป็นกำลังซื้อสำคัญ ทั้งสินค้าบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
พูดอีกอย่าง ไวรัสอีโบลาระบาดที่แอฟริกา เมื่อกลางปีที่แล้ว มีคนตายเกือบสองพัน ไม่ยักทำตลาดหุ้นกระเทือน เทียบไม่ได้แม้กระผีก กับการปิดประเทศที่มีพลเมือง 1.3 พันล้าน
วิกฤติไวรัสอู่ฮั่นจึงกระทบเศรษฐกิจไทยแน่นอน รุนแรงแค่ไหน ประเมินไม่ได้เพราะยังไม่จบ แต่ที่กระทบไปแล้วคือทางการเมือง ความเชื่อมั่นเชื่อถือรัฐบาล ความล่าช้าในการตัดสินใจ ท่าทีในการสื่อสาร ซึ่งสั่งสมมาจากการแก้ปัญหาทุกอย่าง แบบไม่ค่อยจะได้ผล ทั้งเศรษฐกิจ ปากท้อง มาจนน้ำท่วม ภัยแล้ง PM2.5
ยิ่งไปกว่านั้น ไวรัสอู่ฮั่นยังถูกจับตาในแง่ความเกรงใจจีน ความกังวลว่าออกมาตรการอะไรไปจะกระทบความสัมพันธ์ จะกระทบภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ดังจะเห็นว่าแค่มีข้อเสนอให้ออกมาตรการระงับ Visa on Arrival นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ก็ออกมาแย้งว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนเสียความรู้สึก ไวรัสอู่ฮั่นน่ากลัวน้อยกว่าซาร์สหรือเมอร์ส ซึ่งมีอัตราตายสูงกว่ามาก เชื่อว่าอีก 10 วันการแพร่ระบาดจะหยุด
ไม่ทราบว่านายก ATTA สำรวจความเห็นชาวบ้านบ้างหรือเปล่า เพราะโลกออนไลน์ชยันโตกันทั่ว
อย่าลืมนะว่า #รัฐบาลเฮงซวย เมื่อวันเสาร์ก่อน นอกจากไวรัส PM2.5 ก็มีความไม่พอใจว่า รัฐบาลจะออก “ชิมช้อปใช้อินเตอร์” แจกเงินนักท่องเที่ยวชดเชยบาทแข็ง
นี่สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำ ประชาชนระแวงอยู่เสมอว่ารัฐบาล “อุ้มคนรวย” ในยุคที่ประธานหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ธนาคาร เป็นกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ร่วมกับทหารข้าราชการ
ยิ่งกว่านั้นยังมีความเกรงใจจีน ซึ่งแสดงบทพี่ใหญ่กางปีกป้องมาตลอด 5 ปีรัฐประหาร ชาวบ้านจึงถามอย่างไม่เข้าใจว่า ทำไมลูกค้ารายใหญ่ ซื้อทั้งเรือดำน้ำ รถไฟความเร็วสูง จึงได้คิวไปรับคนที่อู่ฮั่นทีหลัง กระทั่งบังกลาเทศและพม่าบินแซงหน้า
ไม่ต้องพูดถึงอเมริกา สิงคโปร์ซึ่งค้าขายกับจีนมหาศาล ก็ระงับวีซ่าผู้ถือสัญชาติจีน ห้ามคนเดินทางไปจีนในช่วง 14 วันเข้าประเทศ ขณะที่รัฐบาลไทยลังเลกระทั่งระงับ Visa on Arrival ลำบากนักก็ยึดสมเด็จฮุนเซ็นเป็นแบบอย่าง คนเขมรไม่ต้องใส่หน้ากากไม่ต้องระงับเที่ยวบินอะไรทั้งสิ้น เกรงจะกระทบความสัมพันธ์
พูดกันจริง ๆ คนจีนก็เดินทางออกมาน้อยแล้ว ทำไมประเทศต่าง ๆ ต้องประกาศห้าม ก็เพราะเขาถือว่าต้องกำหนดมาตรการสูงสุด เพื่อสุขภาพความปลอดภัยของประชาชนไว้ก่อน โดยไม่คิดว่าต้องเกรงใจจีน หรือเกรงใจภาคธุรกิจ ที่ทำมาค้าขายกับจีน
รัฐบาลไทย ภาคธุรกิจไทย พึงตระหนักให้ดี อย่าให้ประชาชนมองว่า “เห็นเงินสำคัญกว่า”
ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว สถานการณ์ช่วงต่อไปจะยิ่งอ่อนไหว เศรษฐกิจจะยิ่งแย่ลง รัฐบาลก็จะเสื่อมลงๆ ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นว่า รัฐกับทุน ปกป้องกันและกัน จะยิ่งบานปลาย