WORK เริ่มไม่เวิร์ก.!?
ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา หุ้นบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ทรุดโทรมหนัก ปรับลดลงไปถึง 35.71% ส่วน 1 เดือนที่ผ่านมา ปรับลดลงไป 10.64% และรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับลดลง 5.97%
สำนักข่ารัชดา
ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา หุ้นบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK ทรุดโทรมหนัก ปรับลดลงไปถึง 35.71% ส่วน 1 เดือนที่ผ่านมา ปรับลดลงไป 10.64% และรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับลดลง 5.97%
เอ๊ะ..! สงสัยจะไม่เวิร์กเหมือนชื่อซะแล้วมั้ง…
แต่เห็นราคารูดแบบไม่มีเบรกแล้วชักหวั่นใจ โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย 11,973 ราย ที่คงมีคำถามตามมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นตัวนี้..?
คำตอบ…เกิดจากผลงานที่พลาดเป้า โดยเฉพาะงบไตรมาส 3/2562 ที่ออกมาน่าผิดหวัง กำไรสุทธิลดฮวบเหลือ 44 ล้านบาท ลดลง 69% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 142 ล้านบาท ส่วนรายได้เหลือ 704 ล้านบาท ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,007 ล้านบาท
ทำให้ 9 เดือนปี 2562 WORK กำไรสุทธิเหลือแค่ 190 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 423 ล้านบาท
ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้…นักลงทุนจึงพร้อมใจกันเทขายหุ้น WORK เพื่อลดความเสี่ยงอย่างที่เห็น..!
ขณะที่ไตรมาส 4/2562 ยังไม่เห็นวี่แววการฟื้นตัว..! โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 28 ล้านบาท ลดลง 36% จากไตรมาสก่อน
ก็น่าสนใจว่า WORK จะกลับมาเฉิดฉายได้อย่างไร..? เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยโชว์ผลงานโตกระฉูดมาแล้ว
แถมช่วงปีที่ผ่านมาทีวีดิจิทัลถูกปลดล็อกเรื่องค่าไลเซนส์และค่ามักซ์ไปแล้วด้วย…
เบื้องต้นถูกมองว่า มี 3 ปัจจัยบวกที่จะหนุนการเติบโตของ WORK ในปีนี้ ประกอบด้วย
1) การปรับผังรายการใหม่…ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่จบรายการ “10 Fight 10” ไป ก็ยังไม่มีรายการไหนปังอีกเลย ดังนั้นหากรายการใหม่ที่จะเริ่มลงจอเดือน ก.พ.นี้ กระแสตอบรับดี ก็จะช่วยเรียกเรตติ้งและเม็ดเงินโฆษณาให้เพิ่มขึ้น
2) ต้นทุนหายไป โดยเฉพาะต้นทุนค่าไลเซนส์และค่ามักซ์ ซึ่งเดิมถูกตราหน้าว่าเป็นตัวฉุดผลประกอบการของธุรกิจทีวีดิจิทัล
และ 3) รับรู้ส่วนแบ่งรายได้และกำไรจากการเปิดพื้นที่ให้ RS Mall นำสินค้าในเครือมาขายผ่านช่อง 23 ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ทำให้ภายใต้เงื่อนไข ถ้าไม่มีอะไรผิดแผน ก็มีโอกาสได้เห็น WORK กลับมาโตกระโดดอีกครั้ง
โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ในปี 2563 จะมีกำไรสุทธิ 252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน
แต่ถ้าตรงกันข้าม งานนี้ตัวใครตัวมัน…
เพราะต้องไม่ลืมว่า โจทย์ใหญ่ของธุรกิจทีวีดิจิทัลคือการแข่งขันที่ดุเดือด แม้ปีที่ผ่านมาช่องทีวีดิจิทัลหายไป 7 ช่อง แต่ด้วยจำนวนเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลงเรื่อย ๆ ประกอบกับพฤติกรรมการเสพสื่อของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป…คนดูทีวีน้อยลง แต่หันไปท่องโลกโซเชียลฯกันมากขึ้น เม็ดเงินโฆษณาจึงถูกโยกไปยังสื่อดิจิทัล เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ มากขึ้น
ยิ่งทำให้สนามนี้กลายเป็นสงครามเลือด..!
แหม๊..มันน่าหนักใจแทน “เสี่ยตา-ปัญญา นิรันดร์กุล” จริง ๆ…
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะเสี่ยตา…จะได้ช่วยกู้ภาพ WORK ให้กับมาเวิร์กสมชื่ออีกครั้ง
…อิ อิ อิ…