พาราสาวะถี
วันนี้ คณะชุดใหญ่จากประเทศไทยจะเดินทางไปรับคนไทยในเมืองอู่ฮั่นเดินทางกลับมาตุภูมิ พร้อมนำสิ่งของที่จำเป็นไปช่วยเหลือคนจีนที่นั่นด้วย โดยที่เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดแล้วคนไทยทั้งหมดรวมทั้งคณะที่เดินทางไปจะต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังเป็นเวลา 14 วัน ส่วนสถานที่นั้นคาดว่าน่าจะเป็นพื้นที่ทหารแห่งใดแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลดังว่าทำให้ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ประกาศว่าจะไปรับคนไทยกลับด้วยตัวเองจึงต้องพับแผนไป
อรชุน
วันนี้ คณะชุดใหญ่จากประเทศไทยจะเดินทางไปรับคนไทยในเมืองอู่ฮั่นเดินทางกลับมาตุภูมิ พร้อมนำสิ่งของที่จำเป็นไปช่วยเหลือคนจีนที่นั่นด้วย โดยที่เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดแล้วคนไทยทั้งหมดรวมทั้งคณะที่เดินทางไปจะต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังเป็นเวลา 14 วัน ส่วนสถานที่นั้นคาดว่าน่าจะเป็นพื้นที่ทหารแห่งใดแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลดังว่าทำให้ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ประกาศว่าจะไปรับคนไทยกลับด้วยตัวเองจึงต้องพับแผนไป
ส่วนที่ประเทศจีนจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด มีผู้ติดเชื้อ 17,205 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 361 ราย ขณะที่ยอดผู้ป่วยในมณฑลหูเป่ยต้นตอการระบาดอยู่ที่ 11,177 ราย เสียชีวิต 350 ราย ด้านประเทศไทยน่ายินดีที่หมอโรงพยาบาลราชวิถีสามารถผสมสูตรยารักษาผู้ป่วยหนักจากไวรัสร้ายดังว่าได้ อาการดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง ทางการแพทย์ถือเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่ได้ผลทุกรายหรือไม่ต้องรอการยืนยันด้วยการใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศที่มีผู้ป่วย
แจกแจงละเอียดยิบสำหรับ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องการรับตัวคนไทยจากอู่ฮั่นกลับช้า ตอกหน้าหงายสำหรับพวกวิจารณ์ชีวิตที่ปลอดภัย ไม่ป่วย ไม่ขาดแคลนอาหารของคนไทยเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ใช่การแข่งขันกับชาติไหน ๆ ว่าใครจะออกก่อนออกหลัง ให้คนไทยปลอดภัยไม่ติดเชื้อเมื่อมาถึงไทยก็เป็นธงชัยของไทยในเรื่องการเคลื่อนย้ายคนจากอู่ฮั่นแล้ว ไม่ใช่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาด่ากันอย่างเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐมนตรีต่างประเทศในฐานะที่เคยเป็นอดีตทูตประจำการที่จีนในช่วงโรคซาร์สระบาด ยังบอกต่ออย่างผู้เชี่ยวชาญด้วยว่า การเข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมดไม่ตื่นตระหนก มีความเป็นเอกภาพภายในประเทศ และให้การสนับสนุนมิตรประเทศที่ประสบปัญหา รู้ถึงความยากลำบากของแต่ละประเทศในยามวิกฤติ ไม่มีอะไรที่จะมีคุณค่าเท่าการเข้าใจ เข้าถึงจิตใจของมิตรในยามยาก และถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกันอย่างสุขุม
อีกประการที่ชี้แจงพอมองเห็นได้เลยว่า ในการถูกซักฟอกเจ้ากระทรวงบัวแก้วเอาตัวรอดได้แน่ กับการที่ชี้ว่าไวรัสอู่ฮั่นมีมิติหลากหลายแทรกตัวอยู่ เป็นเรื่องสุขภาวะทางกายสภาพคนทางจิต เรื่องการอยู่-การกิน เรื่องความเป็นความตาย เรื่องการอยู่รอด เรื่องความเชื่อมั่น เรื่องประสิทธิภาพการทำงาน เรื่องการประสานงาน เรื่องการข่าว การประชาสัมพันธ์ เรื่องการเมืองภายในประเทศ เรื่องเฟคนิวส์ เรื่องการเอาชนะคะคานกัน เรื่องศักดิ์ศรีของชาติ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฯลฯ
ก่อนจะขมวดปมส่งท้ายว่า “จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับมือกับเรื่องนี้ 360 องศาบวกมุมบนกับล่าง” เงียบมาตั้งนาน อธิบายทีเดียวจบข่าวทันที ด้วยสถานการณ์ที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยประเด็นคนไทยต้องสามัคคี จับมือกันให้ผ่านพ้นช่วงสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปให้ได้ เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งแอคชั่นที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะจะนำมาใช้เป็นประเด็นตอบนักข่าวเมื่อถูกถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เรื่องนี้คงต้องแยกออกจากกัน ไม่ใช่ว่าฝ่ายค้านไม่ให้ความสนใจ ใส่ใจในเรื่องสำคัญเช่นนี้ จะเห็นได้จากการที่ส.ส.ทั้งซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างเสนอญัตติด่วนเพื่อให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาเพื่อศึกษาและเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาการระบาดของไวรัสร้ายดังว่าต่อรัฐบาล ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเมื่อฝ่ายค้านเห็นว่า รัฐมนตรีที่ถูกยื่นไร้ประสิทธิภาพและสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ก็ต้องทำตามหน้าที่ ส่วนถูกผิด มีหลักฐานจริงหรือเท็จ เป็นเรื่องที่ประชาชนจะตัดสิน
ไม่ใช่ทำตัวเป็นผู้นำที่ใครก็แตะต้องไม่ได้ หนักข้อถึงขนาดที่ วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลขู่จะใช้เสียงข้างมากลากไปเสนอปิดการอภิปรายหากฝ่ายค้านพาดพิงถึงรัฐบาลเผด็จการคสช. กรณีนี้หากฝ่ายค้านออกมาตอบโต้ก็คงจะไม่งาม การที่ เทพไท เสนพงศ์ คนกันเองออกมาสะกิดจึงน่าจะเรียกสำเหนียก ความมีจิตสำนึกจากเพื่อนร่วมรัฐบาลได้ ถ้ามีการชิงปิดการอภิปรายเกิดขึ้นจริง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลคับแคบ ใช้เสียงข้างมากขัดขวางการทำงานของพรรคฝ่ายค้าน ปิดปากไม่ให้มีการตรวจสอบรัฐบาล
หากมีการกระทำในลักษณะดังกล่าวจริง “ถือเป็นการปิดหูปิดตาประชาชน” ไม่ให้รับรู้การทำงานของพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใดทั้งสิ้น ความจริงเมื่อมั่นใจต่อความสะอาด บริสุทธิ์และโปร่งใส ไม่เห็นมีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องกลัวการอภิปรายย้อนหลังของพรรคฝ่ายค้าน เป็นการดีเสียด้วยซ้ำไปที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะได้ชี้แจงว่าทุกอย่างทำกันอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าในยุคนั้นจะไร้การตรวจสอบก็ตาม
ส่วนประเด็นการอภิปรายของฝ่ายค้าน ไม่ใช่หน้าที่ของประธานวิปรัฐบาลหรือคนในรัฐบาลจะมีชี้นำ ออกคำสั่งได้ ต้องรอฟัง ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการวินิจฉัยขอบเขตเนื้อหาของญัตติว่า สามารถอภิปรายครอบคลุมถึงผลงานรัฐบาลชุดที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้าเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันประธานสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิ์จะอนุญาตให้มีการอภิปรายได้อย่างเต็มที่ ภายใต้ข้อบังคับการประชุมสภาฯ ที่กำหนดไว้ การออกมาดักคอเหมือนร้อนตัวแบบนี้ เหมือนกับการไม่ไว้หน้า ไม่ให้เกียรติประธานสภาฯ เหมือนกัน
ความจริงชวนก็น่าจะจำได้ดียุคที่ บรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกฯ กับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของส.ส.ประชาธิปัตย์ด้วยกระดาษเปล่าแผ่นเดียว โจมตีไปถึงบรรพบุรุษของคนโตตัวเล็กแห่งเมืองสุพรรณบุรี อ้างว่าไม่ใช่คนไทย และยังมีการอภิปรายอีกว่าถ้าเป็นคนไทยจริงต้องผ่านการเกณฑ์ทหาร ขอเอกสารหลักฐานการเกณฑ์ของบรรหารด้วย ถ้าไม่เกณฑ์ทหารแปลว่าไม่ใช่คนไทย แล้วนี่คนที่ถูกอภิปรายส่วนใหญ่เป็นทหารหาญเสียด้วย จะมากลัวอะไรกับอีแค่การตอบคำถามของฝ่ายค้านกับเรื่องที่ตัวเองสามารถยืนยันได้
ยิ่งรายของ ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่แน่นอนว่าฝ่ายค้านจะต้องหยิบยกเอาประเด็นคดีความที่เคยถูกตัดสินในต่างประเทศ รวมทั้งปมวุฒิการศึกษา ถือเป็นเรื่องย้อนอดีตทั้งสิ้น หรือว่าซีกรัฐบาลจะให้ฝ่ายค้านซักฟอกได้แค่คนเดียว คิดได้เท่านี้ก็ทำให้คนที่ติดตามอดสู สมเพชไม่ได้ กลัวอะไรกันนักหนากับการพาดพิงเรื่องในอดีต หากยังคิดว่าเป็นเผด็จการตรวจสอบไม่ได้ก็อย่าเที่ยวไปอ้างว่าเป็นผู้นำและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว