พาราสาวะถี
ตัวเลขยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสำหรับผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศจีน ที่ล่าสุดทะลุกว่า 2 หมื่นคน ขณะที่ผู้เสียชีวิต 425 ราย ส่วนคนไทยที่อู่ฮั่นและจุดอื่นในประเทศจีนที่ประสานกระทรวงการต่างประเทศขอเดินทางกลับบ้านเกิดกว่า 140 ชีวิต เดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพแล้วเมื่อค่ำวานนี้ แน่นอนว่า จากนี้ไปคือกระบวนการกักตัวเฝ้าระวังโรค อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บอกบางรายถ้าอาการดีอาจไม่ต้องอยู่ครบ 14 วัน
อรชุน
ตัวเลขยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสำหรับผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศจีน ที่ล่าสุดทะลุกว่า 2 หมื่นคน ขณะที่ผู้เสียชีวิต 425 ราย ส่วนคนไทยที่อู่ฮั่นและจุดอื่นในประเทศจีนที่ประสานกระทรวงการต่างประเทศขอเดินทางกลับบ้านเกิดกว่า 140 ชีวิต เดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพแล้วเมื่อค่ำวานนี้ แน่นอนว่า จากนี้ไปคือกระบวนการกักตัวเฝ้าระวังโรค อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข บอกบางรายถ้าอาการดีอาจไม่ต้องอยู่ครบ 14 วัน
แต่ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะแพทย์ผู้ที่ดูแล การแก้ไขปัญหานั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย สิ่งสำคัญนอกจากเงี่ยหูฟังสถานการณ์ในต่างประเทศโดยเฉพาะที่จีนแล้ว ภายในประเทศหากพบใครที่ผิดสังเกตหรือเห็นว่าเพิ่งเดินทางกลับมาจากพื้นที่แพร่ระบาดของโรค คนในชุมชนต้องช่วยกันสอดส่อง แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจะป้องกันในจุดที่ภาครัฐไม่มีกำลังเพียงพอ ก็จะเป็นอีกหนึ่งหนทางในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายชนิดนี้ได้
ยืนยันจาก “หมอหนู” เหตุที่ไม่ได้เดินทางร่วมคณะไปรับคนไทยที่อู่ฮั่น เป็นเพราะทางการจีนขอร้องมา อย่าไปเพิ่มภาระให้กับทางโน้น เนื่องจากคนระดับรัฐมนตรีในรัฐบาลเดินทางไป จำเป็นที่จะต้องมีการจัดการต้อนรับโดยมารยาททางการทูต ดังนั้น การไม่ไปเพิ่มภาระ แล้วปล่อยให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่แท้จริงได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แอ๊กชั่นตลอดห้วงเวลาที่เริ่มมีมาตรการเฝ้าระวังในประเทศไทยสำหรับเจ้ากระทรวงคุณหมอก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ประชาชนพึงพอใจระดับหนึ่งแล้ว
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลา
โหม พร้อมด้วยรัฐมนตรีอีก 5 ราย ไม่ได้กลัว เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว แต่ที่เห็นเล่นเกมกันตั้งแต่วินาทีแรกทั้งขู่เสนอปิดอภิปรายหากฝ่ายค้านพาดพิงไปถึงรัฐบาลเหนือการตรวจสอบคสช. ล่าสุด ก็ยื่นให้ ชวน หลีกภัย ประธานสภาฯตีความญัตติที่ยื่นอาจเป็นเท็จ เพราะมีการกล่าวหาผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่าฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ
ทั้ง ๆ ที่จำแลงแปลงร่างสลัดคราบเผด็จการมาในรูปแบบครึ่งบกครึ่งน้ำ โดยเสียงเลือกตั้งส่วนหนึ่งกับลากตั้งทั้งหมด จึงถือได้ว่าผู้นำรัฐบาลที่ผ่านการทำงานมาเกือบ 7 เดือนนั้นไม่ได้มีการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญตามที่กล่าวหา ไม่ว่าบทสรุปจากประธานสภาจะออกมาอย่างไร แต่พฤติกรรมของส.ส.และแกนนำพรรคสืบทอดอำนาจที่แสดงออก ก็ทำให้เห็นแล้วว่านี่เป็นอาการของ “พวกปากกล้าขาสั่น” อย่างแท้จริง เมื่อมั่นใจในทุกสิ่งว่าทำโดยถูกต้อง เป็นไปตามกระบวนการ ก็ไม่จำเป็นต้องตีโพยตีพายใด ๆ
แต่ก็อย่างว่า มีศรีธนญชัยรอดช่องเป็นกุนซือทั้งขบวนการสืบทอดอำนาจย่อมเล่นเกมทางข้อกฎหมายให้ฝ่ายค้านหัวปั่นจนวินาทีสุดท้าย เหมือนกรณีการเสนอปิดอภิปราย ขนาดออกตัวว่าไม่ได้ชี้นำ ก็ยังอุตส่าห์อธิบายเป็นฉาก ๆ ว่า เป็นเรื่องของสมาชิกในสภาจะเป็นผู้พิจารณา ไม่จำเป็นต้องฟังประธานฯ เพราะคนที่นั่งบนบัลลังก์มีหน้าที่แค่ควบคุมการประชุม ส่วนการตัดสินใจทั้งหมดเป็นเรื่องของส.ส. นี่ก็เท่ากับเป็นการชี้ช่องให้ใช้เสียงข้างมากลากไปได้เต็มที่
ขนาดมีเสียงปริ่มน้ำยังแสดงพฤติกรรมเผด็จการรัฐสภาหรือเผด็จการเสียงข้างมาก หากชนะขาดลอยมาตั้งรัฐบาล ก็ไม่รู้ว่าจะออกอาการกร่างกันขนาดไหน คงไม่ต่างจากรัฐสภาเผด็จการที่ผ่านมา อยู่ที่ว่าฝ่ายค้านจะแก้เกมนี้อย่างไร หากในสภามีปัญหายึดยื้อกันจนหมดสมัยประชุมแล้วไม่ได้ซักฟอก พ.ศ.นี้ตั้งโต๊ะอภิปรายนอกสภาก็ทำได้ และคนก็ให้ความสนใจติดตามมากอยู่แล้วโดยใช้ช่องทางผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก
เพียงแค่ว่าการอภิปรายลักษณะนี้จะไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองเท่านั้น แต่จะว่าไปแม้จะซักฟอกในสภาถ้าอภิปรายทำให้ผู้ถูกกล่าวหาเสียหายโดยปราศจากข้อเท็จจริงก็มีโอกาสที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีกันได้ ดังนั้น หากเชื่อมั่นในหลักฐานที่มี เป็นการดีเหมือนกันที่ฝ่ายค้านจะเลือกขุนพลจำนวนหนึ่งจัดอภิปรายนอกสภา ถลกหนังกันให้ถึงกึ๋นไม่ต้องไปติดกรอบข้อบังคับและการถูกประท้วงจากองครักษ์พิทักษ์เผด็จการสืบทอดอำนาจ แฉกันให้หมดไส้หมดพุงไปเลย
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า สิ่งที่ขบวนการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อหวาดกลัวกันเป็นอย่างยิ่งคือสิ่งที่ซุกไว้ใต้พรมในช่วงเผด็จการครองเมือง พยายามที่จะหาช่องปิดหนทางในการตรวจสอบทุกวิธี อยู่ที่ว่าฝ่ายค้านจะกล้าพอในการเดินหน้าชนความอยุติธรรม สิ่งไม่ชอบมาพากลที่ตัวเองกล้าป่าวประกาศกับสังคมว่ามีหลักฐาน มีใบเสร็จ หลังอภิปรายจะทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งไม่ติด อยู่ไม่ได้ เลวร้ายสุดถึงขนาดต้องลาออกหรือต้องปรับครม.กันทีเดียว
แต่หากฝ่ายรัฐบาลเลิกขาสั่น วันนี้ก็จะมีการหารือกันระหว่างตัวแทนรัฐบาล วิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน เพื่อกำหนดกรอบเวลาในการอภิปราย รวมถึงจำนวนวันที่จะอภิปรายว่าต้องใช้เวลากี่วัน จะว่าไปในระดับนำของพรรคสืบทอดอำนาจที่ไม่ใช่พวกติดสอยห้อยตามเผด็จการมาตั้งแต่ต้น ก็ล้วนคนกันเองกับแกนนำซีกเพื่อไทยทั้งนั้น อยู่ที่ว่าการคุยกันจะตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างที่คุยโวโอ้อวดของส.ส.ซีกรัฐบาลหรือหวงก้าง ตะกละตะกลามกับสิ่งที่สวาปามกันมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
ต้องชื่นชม มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่กล้าประกาศตัวยืนเคียงข้างฝ่ายค้าน ไม่ไปนั่งเป็นส.ส.รัฐอิสระตามพวกอีก 5 คนที่อ้างว่าจะเดินเกมทางการเมืองโดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติใคร ทั้ง ๆ ที่คนทั่วไปก็รู้กันอยู่ว่าใครที่ดอดไปรับแจกกล้วยจากฝั่งถือครองอำนาจบ้าง อย่างว่า โดยเฉพาะพรรคจำพวกนี้ คงต้องรีบตักตวง ยิ่งมาตระบัดสัตย์ลืมคำพูดที่เคยสัญญาไว้กับประชาชน เลือกตั้งเที่ยวหน้าก็อย่าได้หวังจะมีโอกาสกลับมาเป็นส.ส.อีก เต็มที่ก็รอแค่เก้าอี้เอื้ออาทรจากกกต. 1 ที่นั่งเท่านั้น