หุ้นแบงก์แสนถูก ???พลวัต2015

ราคาหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในตลาดหลายเดือนนี้ ถดถอยรุนแรงเฉลี่ยมากถึง 25% นับจากสิ้นไตรมาสแรก สะท้อนว่า ในมุมมองของนักลงทุน หุ้นธนาคารพาณิชย์ไทยหมดเสน่ห์รุนแรงเกินความเป็นจริง


ราคาหุ้นของธนาคารพาณิชย์ในตลาดหลายเดือนนี้ ถดถอยรุนแรงเฉลี่ยมากถึง 25% นับจากสิ้นไตรมาสแรก สะท้อนว่า ในมุมมองของนักลงทุน หุ้นธนาคารพาณิชย์ไทยหมดเสน่ห์รุนแรงเกินความเป็นจริง

ความไร้เสน่ห์ของหุ้นแบงก์ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ราคาหุ้นของแบงก์ทั้งหลาย (ไม่นับ CIMBT) หากคิดเป็นสัดส่วนเมื่อเทียบกับกำไร (พี/อี) และมูลค่าทางบัญชี (พี/บีวี) ล้วนแล้วแต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดทั้งสิ้น

ค่าพี/อี ที่ต่ำกว่าค่าตลาดมากกว่าครึ่ง  และค่า พี/บีวี ที่ต่ำมาก บางรายต่ำกว่าบุ๊ค หากเป็นยามปกติ เหมาะสำหรับเข้าซื้อ แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่า การเข้าซื้อหุ้นแบงก์ยามนี้ สุ่มเสี่ยง เพราะราคาที่ถูกยามนี้ อาจจะมีถูกกว่าในอนาคต

เหตุผลคือ ทิศทางของเศรษฐกิจไทย ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวตามที่คนในรัฐบาลบอกเลย กลับมีแต่จะซึมยาวลงไปเรื่อยๆ อาจทำให้ราคาหุ้นธนาคารถูกลงไปอีก เพราะกำไรของธนาคารอาจจะต่ำลง เนื่องจากความสามารถในการ “รีดเลือดจากปู” จากบรรดาธุรกิจลูกค้าไม่ง่ายเหมือนเดิมในช่วงเศรษฐกิจปกติ

ในครึ่งแรกของปีนี้ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังอยู่ในภาวะอ่อนตัว และฟื้นตัวช้ากว่าคาด สะท้อนออกมาในรูปของผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ที่มีกำไรรวมกัน 5.157 หมื่นล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย 912.16 ล้านบาท หรือ 1.74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 5.248 หมื่นล้านบาท

ในขณะที่ไม่มีธนาคารพาณิชย์ไทยรายใดที่มีกำไรลดต่ำเกิน 15% เลย ที่เลวร้ายสุดคือ กำไรธนาคารทหารไทยที่ลดไป 12.26% ส่วนหนึ่งเกิดจากตั้งสำรองพิเศษเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเท่านั้น

การที่ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งของไทยยังคงมีกำไรสุทธิกันทุกราย ไม่มีขาดทุน แม้ว่าอาจจะดูหืดจับ แต่การที่ราคาหุ้นลดลงมากกว่ากำไรที่ลด เป็นปฏิกิริยาที่เกินจริง หรือ โอเวอร์รีแอคท์ เพราะหากพิจารณาจากมุมมองของผู้ที่รู้ละเอียดอย่างสถาบันจัดอันดับเรตติ้ง ก็ยังไม่มีใครถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือสักราย

หากพิเคราะห์อย่างยอมรับในอารมณ์ของนักลงทุนถึงสาเหตุหุ้นแบงก์ขาดเสน่ห์รุนแรง ก็เข้าใจได้ว่า ความลังเลใจจะเข้าซื้อหุ้นแบงก์ที่ถูกมากยามนี้เพราะกลัวว่า ถ้าซื้อไปแล้ว ที่ว่าถูก อาจจะมีถูกกว่า พิจารณาจากโอกาสที่หุ้นแบงก์หรือหุ้นในตลาดจะลงต่ำต่อไปอีก สูงมากพอสมควร

นักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า โอกาสที่ กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงไปอีกในปีนี้ เป็นไปได้สูงมาก เนื่องจากผู้บริหารแบงก์ชาติ และ กนง. ได้สุมหัวกับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ ผลักดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลงเพื่อกระตุ้นการส่งออก ซึ่งเข้าข่ายพยายามควบคุมค่าเงินสกุลบาท เพื่อสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ โดยทำให้ค่าบาทอ่อนค่าผิดธรรมชาติ

ข้อเท็จจริงยามนี้ที่ระบุว่า การส่งออกของประเทศซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนหลักมานานหลายทศวรรษ กำลังหดตัวอย่างหนัก แม้จะเริ่มฟื้นตัวแต่ก็ช้ามากๆ เพราะมีปัจจัยลบที่ควบคุมไม่ได้ กระหน่ำซ้ำเติม ซึ่งทำให้คาดหวังยากมากที่จะเห็นการส่งออกจะกลับไปสู่สภาพโตเกิน 4% ต่อปีอีกต่อไป

การออกมาป่าวประกาศของรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจว่า นโยบายบาทอ่อนที่เริ่มไปแล้วด้วยการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดกระบวนการกลไกการค้าขายให้มีความคล่องตัวทั้งสองด้านช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงมาก ทำให้ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์ในเดือนเมษายน อ่อนลงไปที่ 34.90 บาท/ดอลลาร์ในยามนี้ รวมแล้วอ่อนค่าไปถึง 7% มีส่วนช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถกำหนดราคาขายใหม่ที่แข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้แล้ว และเป็นระดับที่ผู้ส่งออกพอใจ ถือว่าละเลยกับผลกระทบข้างเคียงที่จะติดมาด้วย

นโยบายบาทอ่อนกระตุ้นการส่งออก (ล่าสุดวันนี้ ทะลุ 35 บาทต่อดอลลาร์ไปเรียบร้อยสมใจคนที่กำหนดนโยบายบาทอ่อนเต็มที่) ซึ่งจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายในระยะยาว เพราะชาติคู่ค้าหมดกำลังซื้ออยู่แล้ว คือความสุ่มเสี่ยง และส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นต่อเนื่องดังที่เป็นอยู่ตลอดเดือนนี้

 นโยบายบาทอ่อนกระตุ้นส่งออกที่ไม่ได้ผลในระยะยาวนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ราคาหุ้นแบงก์ในตลาดไม่สามารถขึ้นต่อไปได้เท่านั้น หากยังจะมีส่วนทำให้ลูกค้าของธนาคารมีสภาพคล่องทางการเงินย่ำแย่ และส่งผลต่อการทำกำไรในครึ่งหลังปีของหุ้นแบงก์

ความหวาดวิตกต่อราคาหุ้นแบงก์ในอนาคตข้างหน้า ไม่ใช่สิ่งที่เกินเลย หากมองจากสภาพที่เกิดจากประมาณการล่วงหน้าของสภาพัฒน์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และ ของสำนักวิจัยเอกชนต่างๆ  ล้วนชี้ไปที่จุดถดถอยทั้งสิ้น

ราคาแสนถูกของหุ้นแบงก์ขณะนี้ จึงสะท้อนความกังวลต่ออนาคตของนักลงทุน ชี้ได้เลยว่าเหตุใดราคาหุ้นแบงก์ถึงถ่วงรั้งขาขึ้นของตลาดอย่างเอาเป็นเอาตาย

หากถามนักลงทุนว่าการประชุม กนง.รอบใหม่เดือนสิงหาคมนี้ จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ คำตอบร้อยทั้งร้อย จะบอกว่า ลดทั้งสิ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการกดกำไรของธนาคารหดหายอย่างเลี่ยงไม่พ้น และยิ่งทำให้ต่างชาติขายหุ้นแบงก์หนักข้อขึ้น

อย่างนี้ จะบอกว่าหม่อมอุ๋ย กับผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ช่วยกันทุบราคาหุ้นแบงก์ ก็คงไม่เกินจริง

Back to top button