พาราสาวะถี
ขณะที่ทั้งโลกกำลังขวัญผวากับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ประเทศไทยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงเช้าวันอาทิตย์เกิดเหตุทหารยศจ่าสิบเอกใช้อาวุธยิงผู้บังคับบัญชาตายพร้อมครอบครัวในค่ายทหาร ก่อนที่จะคลั่งปล้นอาวุธออกมาไล่ยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตรายทางจนกระทั่งไปยึดห้างเทอร์มินอล 21 ห้างใหญ่ของโคราช ปักหลักฆ่าคนเป็นว่าเล่น สุดท้ายหนีไม่พ้นถูกวิสามัญ ถือเป็นเหตุโศกสลดที่บ้านเราไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อรชุน
ขณะที่ทั้งโลกกำลังขวัญผวากับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ประเทศไทยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงเช้าวันอาทิตย์เกิดเหตุทหารยศจ่าสิบเอกใช้อาวุธยิงผู้บังคับบัญชาตายพร้อมครอบครัวในค่ายทหาร ก่อนที่จะคลั่งปล้นอาวุธออกมาไล่ยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตรายทางจนกระทั่งไปยึดห้างเทอร์มินอล 21 ห้างใหญ่ของโคราช ปักหลักฆ่าคนเป็นว่าเล่น สุดท้ายหนีไม่พ้นถูกวิสามัญ ถือเป็นเหตุโศกสลดที่บ้านเราไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แน่นอนว่า กรณีนี้เป็นเรื่องของบุคคล แต่เกี่ยวพันกับคนมีสี ดังนั้น วันนี้ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญาการทหารบก จะตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมตอบทุกคำถาม ขณะเดียวกันช่วงเย็นวันวาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเป็นเวลา 5 นาทีเกี่ยวกับรายละเอียดการช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ จากกรณีเดียวกัน ส่วนเรื่องเสียงวิจารณ์ต่อท่าทีของท่านผู้นำที่ลงพื้นที่หลังการวิสามัญคนร้ายแล้วนั้น ถือเป็นเรื่องนานาจิตตัง
หากเป็นผู้นำที่ดีย่อมรับเสียงติมากกว่าเสียงชม สิ่งไหนไม่เป็นความจริงก็ชี้แจงแถลงไขให้สิ้นสงสัย ส่วนเรื่องไหนเห็นว่าเป็นท่าทีหรือสิ่งที่ติดเป็นนิสัยแก้ไขไม่ได้ก็แค่กล่าวคำว่าขออภัย และพร้อมจะปรับปรุงไม่ให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำประเทศ เชื่อว่าคนไทยไม่มีใครติดใจหรือไม่ยอมให้อภัย ทุกอย่างมันอยู่ที่ความจริงใจ ตั้งใจเพื่อแก้ไขปัญหา ดูแลความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม
เว้นเสียแต่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ว่ามาแล้ว แต่ประชาชนยังติดใจ ไม่เชื่อมั่น นั่นก็เป็นเรื่องที่จะต้องกลับมาวิเคราะห์แบบยอมรับความจริงกันแล้วว่าเกิดจากสาเหตุใด คนไทยส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อถือเหมือนเมื่อคราวยึดอำนาจหมาด ๆ จะเรียกว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดของรัฐบาลคงไม่เชิงเสียทีเดียว เพราะกรณีเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนานั้น มาตรการในการรับมือและเฝ้าระวังก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในระดับโลกอยู่แล้ว
สิ่งที่เป็นปัญหาแล้วเกิดความกังขาจากประชาชน คงเป็นเรื่องของการบริหารจัดการมากกว่า เพราะนั่นถือเป็นการบ่งบอกประสิทธิภาพ ความสามารถในการดูแลประเทศในยามวิกฤติ กรณีของไวรัสร้าย ในส่วนของการเฝ้าระวังแบบเข้มข้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ถือเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการดูแลป้องกันการแพร่ระบาดภายในประเทศ เป็นเรื่องความปลอดภัยของประชาชนส่วนใหญ่ ในเมื่ออาวุธในการป้องกันคือหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องดูแลไม่เกิดการขาดตลาด
จะอ้างว่ากำลังการผลิตกับความต้องการไม่สอดคล้องกันคงไม่ใช่ เพราะการให้สัมภาษณ์ที่ขัดกันของท่านผู้นำกับรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสินค้าสองชนิดดังว่า แค่ช่วงเช้ากับเย็นก็ต่างกันลิบลับ หากมั่นใจว่าไม่ขาดแคลนก็ต้องจัดหาให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพย่อมรู้ว่าสินค้ามีอยู่ตรงไหน และจะบริหารจัดการระบายให้ทั่วถึงได้อย่างไร ไม่ใช่แค่จัดขายกันตามสถานที่ราชการที่มีจำกัดและไม่พอเพียงกับความต้องการ
ประการสำคัญคือ ในภาวะที่ประชาชนทุกคนควรใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเวลาที่จะต้องอยู่ในที่ซึ่งมีผู้คนจำนวนมาก คำถามที่ตามมาคือรัฐบาลควรจะซื้อแจกให้กับประชาชนหรือโยนให้ทุกคนไปซื้อหากันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ซึ่งมีคนหนาแน่นอย่างในกรุงเทพฯ อย่าลืมเป็นอันขาดว่าคนเราไม่เท่ากัน เงินแต่ละบาทความสำคัญก็ต่างกัน หากเป็นผู้นำที่เข้าถึงหัวอกของประชาชนโดยเฉพาะคนรากหญ้าที่ตัวเองพยายามพูดถึงเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำอยู่ตลอดเวลา ต้องมองเห็นปัญหาตรงนี้
จริงอยู่ว่าคงไม่สามารถแจกให้ครบทุกคนทั้งประเทศ แต่เพื่อลดความเสี่ยง ตามหัวเมืองใหญ่และในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำเป็นที่จะต้องได้รับแจกหน้ากากอนามัยเพื่อให้ทุกคนมีใช้ในช่วงของการเฝ้าระวังการระบาดหรือไม่ และไม่เชื่อว่าภาครัฐจะไร้ปัญญาในการบริหารจัดการเรื่องการแจกให้ครอบคลุมทั่วถึงทุกครัวเรือน หากไม่มืดบอดกันจนเกินไปถามว่าในขณะที่ฝ่ายหนึ่งคุมเข้มเฝ้าระวังกันอย่างเต็มที่ แต่ในพื้นที่ที่เสี่ยงจะเกิดการแพร่ระบาด ควรมีคนใส่หน้ากากทุกคนหรือจำนวนมากกว่าคนไม่ใส่ใช่หรือไม่
หากคำตอบคือใช่ วันนี้ท่านผู้นำลองให้ทีมงานหรือไม่ก็ลงพื้นที่ไปสัมผัสปัญหาด้วยตัวเอง จะเห็นได้ว่าจำนวนคนที่ตระหนักถึงเรื่องดังว่า ยังไม่มากพอที่จะทำให้การเฝ้าระวังเชื่อมั่นในผลสัมฤทธิ์ได้ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงได้ เพราะจำนวนคนที่ไม่ใส่หน้ากากยังคงมากกว่าคนที่ใส่เฉพาะพื้นที่ซึ่งมีคนหนาแน่น กรณีนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล คนที่ลงไปแจกหน้ากากด้วยตัวเองคงอธิบายให้ท่านผู้นำได้เป็นอย่างดี กับการหลุดต่อว่านักท่องเที่ยวชาติตะวันตกที่ปฏิเสธรับหน้ากากด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
อย่าได้มองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งเล็กน้อยและเป็นเกมการเมืองเลวที่คอยแต่จะต้องจับผิด การเป็นผู้นำที่ดีจะต้องมองสภาพปัญหาให้รอบด้าน ไม่อาจมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ได้ ไม่ใช่แค่โพนทะนาตีอกชกตัวว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 ของโลกในการสกัดการระบาดของโรคต่าง ๆ เท่านั้น การที่ฝ่ายค้านคอยกระทุ้งและอาจมีวาทกรรมทางการเมืองที่เหน็บแนมมาบ้างถือเป็นการติเพื่อก่อ ส่วนใครที่มันมากเกินไป ประชาชนตัดสินใจกันได้
ไม่ต้องให้ใครมาจูงจมูก การใช้อำนาจกดทับปัญหามันทำได้แค่ยามที่เป็นเผด็จการครองเมืองเท่านั้น พิสูจน์ได้ผ่านงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ขบวนล้อการเมืองที่ถูกสกัดกั้นมาตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา ปีนี้กับงานครั้งที่ 74 เมื่อทุกอย่างถูกปลดปล่อย เราจึงได้เห็นเสียงสะท้อนที่ตรงไปตรงมา ผ่านปัญญาชนของสองมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ โดยเฉพาะป้ายผ้าที่มีข้อความ “ผนงรจตกม” เรียกอารมณ์ร่วมจากสังคมได้เป็นอย่างดี
นี่ยังไม่นับรวมการแปรอักษรของสองสถาบัน ทั้งหมดไม่ได้เกิดจากอคติหากแต่เป็นความรู้สึกผ่านการสัมผัสจับต้องได้ของสภาพปัญหาสารพัดสารพันที่กำลังเผชิญกันอยู่ ปากท้องของประชาชนไม่ได้อยู่ได้ด้วยการหว่านเม็ดเงินแจกแหลก หากแต่เป็นเรื่องของการทำให้สภาพเศรษฐกิจดี คนมีรายได้ที่มั่นคง หาเช้าแล้วพอกินถึงค่ำไม่ใช่หาเช้าแล้วกินมื้อเดียวยังไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้คือความสำเร็จที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะยังทำไม่ได้ เพราะถ้าทำได้ดีคงไม่เต้นผางและวางแผนสารพัดเพื่อดิสเดรดิตฝ่ายค้านเพื่อทำลายกระบวนการซักฟอกที่กำลังจะเกิดขึ้น