พาราสาวะถี
แถลงข่าวด้วยน้ำตาจากเหตุโศกนาฏกรรมที่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาคลั่งก่อเหตุกราดยิงจนคนเสียชีวิตหลายสิบราย บาดเจ็บจำนวนมาก พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ลั่น วินาทีที่จ่าสิบเอกคนดังว่าลั่นไกฆ่าคนตายเขาคืออาชญากรไม่ใช่ทหารอีกต่อไป ในขณะที่มีคำถามตามมาว่า ระบบรักษาความปลอดภัยภายในกรม กอง ทำไมจึงหละหลวม หากค่ายสังกัดของทหารคลั่ง สกัดจับกุมได้ก่อนปล่อยให้ออกไปข้างนอก เหตุเลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น
อรชุน
แถลงข่าวด้วยน้ำตาจากเหตุโศกนาฏกรรมที่ลูกน้องใต้บังคับบัญชาคลั่งก่อเหตุกราดยิงจนคนเสียชีวิตหลายสิบราย บาดเจ็บจำนวนมาก พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ลั่น วินาทีที่จ่าสิบเอกคนดังว่าลั่นไกฆ่าคนตายเขาคืออาชญากรไม่ใช่ทหารอีกต่อไป ในขณะที่มีคำถามตามมาว่า ระบบรักษาความปลอดภัยภายในกรม กอง ทำไมจึงหละหลวม หากค่ายสังกัดของทหารคลั่ง สกัดจับกุมได้ก่อนปล่อยให้ออกไปข้างนอก เหตุเลวร้ายคงไม่เกิดขึ้น
การพูดหลังเกิดเหตุไปแล้วมันง่ายและดูจะเป็นการซ้ำเติมกันเกินไป บทเรียนที่เกิดขึ้นมันจึงมีคำถามว่านอกจากโยนให้เป็นเรื่องของบุคคลที่ห้ามกันไม่ได้แล้ว กองทัพที่ประกาศตัวว่าปฏิรูปกันมาตลอดเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกช่วงเวลา อันเป็นเหตุผลปฏิเสธการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพ การปรับเปลี่ยนดังว่า เป็นการเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นหรือหละหลวมมากกว่าเดิม การพูดในจังหวะเวลาเช่นนี้ไม่น่าจะเหมาะ แต่ถ้าไม่กระทุ้งกันช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีจังหวะไหนที่ผู้มีอำนาจทั้งหลายจะรับฟัง
ต้นตอของการนำไปสู่โศกนาฏกรรมก็คือ ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์จากผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ที่สำคัญคือเป็นเครือญาติกันอีกต่างหาก แต่จากที่ได้ยินได้ฟังมีการโกงกันโดยอาศัยความเป็นใหญ่ในยศถาบรรดาศักดิ์ที่มีมากดทับผู้ที่อยู่ต่ำกว่า เรื่องเช่นนี้เชื่อว่า “บิ๊กแดง” คงรู้ดีว่า ไม่ใช่มีที่นี่แห่งเดียว อยู่ที่ว่าจะยอมรับความจริงกันหรือไม่ ประเภททำนาบนหลังคนหรืออาศัยความเป็นคนมีสีไปหากินด้วยวิธีการที่ไม่สุจริต
สิ่งที่พูดมาไม่ได้คิดเองเออเองแม้แต่ สุรชาติ บำรุงสุข จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยังวิเคราะห์กรณีที่เกิดขึ้นว่า สัญญาณที่ส่งมาจากโคราชถือเป็นการบ่งบอกว่า “ได้เวลาเลิกหากินในค่ายทหารได้แล้ว” พร้อม ๆ กับข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพอย่างเป็นจริงเป็นจัง อย่าทำตัวเป็นพวกแตะต้องไม่ได้ ไม่ใช่แค่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งแล้วก็ทำมาเป็นขึงขัง แอ๊กชั่นจะทำโน่นทำนี่เพื่อซื้อใจประชาชน แต่สุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดังนั้นหนนี้อย่าให้เป็นไฟไหม้ฟาง ต้องไปสะสางให้หมดสิ้น ส่วนมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งญาติผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ นาทีที่เพิ่งผ่านสถานการณ์สะเทือนใจไปหมาด ๆ ท่านผบ.ทบ.ประกาศชัดผู้อยู่ในข่ายได้รับการดูแลหากประสงค์จะเข้ามาทำงานในกองทัพก็พร้อมอ้าแขนรับ ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นจริง เพราะสิ่งที่คนเหล่านั้นได้คืนกลับมา แลกไม่ได้กับสิ่งที่เขาสูญเสียไป โดยเฉพาะสภาพจิตใจที่บางรายอาจรักษาไม่หายไปตลอดชีวิต
ภาพการบัญชาการเหตุการณ์โดยเป็นแนวหน้านำลูกน้องตำรวจปฏิบัติการณ์อย่างเด็ดเดี่ยวของ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลาย ไม่ต้องสาธยายอะไรกันให้เมื่อยตุ้ม เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผบ.ตร.รายนี้ลงพื้นที่ทำงานด้วยตัวเอง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา สมแล้วกับคำกล่าวที่เคยประกาศไว้เมื่อคราวรับตำแหน่ง“ผู้บังคับบัญชาต้องทำตัวเป็นปุ๋ย ไม่ใช่ยาฆ่าแมลง ไปตรงไหน จะเจริญงอกงาม ไม่ใช่ไปที่ไหนที่นั่นตาย”
การทำงานที่ผ่านมาจนจะเกษียณในอีก 7 เดือนข้างหน้า ถือว่าเป็นบทพิสูจน์คำพูดของผู้ยิ่งใหญ่แห่งทุ่งปทุมวันรายนี้ได้เป็นอย่างดี และก็ถือเป็นการแสดงให้คนได้เห็นถึงปรัชญาในการทำงานของบิ๊กแป๊ะได้อย่างเด่นชัดด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ “ตำแหน่งเป็นช่วงเวลาของการทำงาน แต่ตำนานเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจะจดจำ” เชื่อว่าหลังจากเดือนกันยายนปีนี้ไปแล้ว ผู้คนจะจดจำผู้นำองค์กรตำรวจแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี แม้จะมีความพยายามของบางคนบางพวกทำให้สะดุดก่อนเกษียณก็ตาม
โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังคงคร่าชีวิตคนจีนโดยเฉพาะที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ของจีนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดตัวเลขทะลุไปถึง 1,018 รายแล้ว ขณะที่ผู้ติดเชื้อก็สูงถึง 43,108 คน ส่วนที่ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อรายที่ 33 แต่ยังคงเป็นคนจีนที่เดินทางมาจากอู่ฮั่นก่อนการประกาศปิดประเทศ และเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายที่ 22 ถือว่าเป็นการยืนยันมาตรฐานการคัดกรองของกระทรวงสาธารณสุขยังคงมีประสิทธิภาพสมกับที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก
ว่าด้วยเรื่องหน้ากากอนามัย อาวุธป้องกันการรับเชื้อที่สำคัญของคนไทยในเวลาที่มีความจำเป็นต้องไปพบปะผู้คนตามย่านชุมชนสำคัญ หลังจากที่ถูกกังขาเรื่องการไม่ยอมแจกให้กับประชาชน มิหนำซ้ำ ยังนำออกมาขายในทำเนียบรัฐบาล แม้จะอ้างว่าขายถูกราคาทุนก็ตาม ล่าสุด ท่านผู้นำยอมฟังเสียงสะท้อนของประชาชน โดยเปลี่ยนจากการขายมาแจกให้กับประชาชนที่ทำเนียบฯ แทน แต่จำกัดให้ได้เพียงรายละ 5 ชิ้นเพียงแค่แสดงบัตรประจำตัวประชาชน
เป็นเรื่องที่ถูกต้องแม้จะคิดได้ช้าหรือเพิ่งปรับทัศนคติกันได้ก็ตาม ที่อ้างว่าถ้าแจกกลัวประชาชนจะนำไปขายไม่ตรงวัตถุประสงค์ ไม่รู้ว่าคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้นได้ยังไง ส่วนเรื่องของการแจกไม่ใช่จำกัดจุดอยู่เฉพาะในทำเนียบฯ ต้องกระจายให้ทั่วถึงโดยเฉพาะคนด้อยโอกาสหรือผู้มีรายได้น้อย ที่ยังต้องใช้ชีวิตปะปนกับคนส่วนมากในเมืองหลวงและใกล้เคียง วิธีการอย่างที่บอกคนของภาครัฐรู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องทำแบบไหน ถ้าใครอ้างว่าทำไม่ได้ก็ไม่ควรจะต้องเลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุก เปลืองงบประมาณแผ่นดิน
กลัวว่าฝ่ายค้านจะเล่นแง่ของอภิปรายกันก่อนจะลงมติวาระ 2 ของร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงได้เห็นการตีกัน ดักคอของบรรดาแกนนำในรัฐบาลประมาณว่าฝ่ายค้านอย่าเล่นเกมการเมือง พร้อมอ้างเกษตรกร อ้างประชาชน ที่กำลังรองบประมาณตรงนี้อยู่ โดยลืมไปว่า เหตุที่มันมีปัญหานั้นเพราะความมักง่ายของส.ส.ในซีกรัฐบาลเอง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เพราะความกลัวว่าเสียงจะไม่พอจึงต้องฝากบัตรมาเสียบแทนกดแทนกันนั่นไง
ก่อนที่จะไปถามหาความรับผิดชอบจากฝ่ายค้าน ควรตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูตัวตนของคนในพรรคร่วมรัฐบาลกันก่อนไหม ใครหน้าไหนที่บังอาจทำให้ร่างกฎหมายสำคัญต้องสะดุด ยังดีที่ศาลรัฐธรรมนูญเร่งรัดให้ได้เร็ว ถ้าไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วปล่อยให้ลอยนวล คงต้องย้อนกลับไปถาม วิษณุ เครืองาม กันหน่อยว่า ยอมรับและปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ได้หรือ คนจะได้รู้ว่าผู้ที่ประกาศปาว ๆ ต้องมีคนรับผิดชอบแต่การเสียบบัตรแทนกันรับได้กับการเมืองสามานย์โสมมเช่นนี้