ปริศนาอนาคตของ SCC
นานกว่า 2 ปีมาแล้วที่เราได้เห็นนักวิเคราะห์เสียงแตกเกี่ยวกับอนาคตของราคาหุ้นบริษัทอุตสาหกรรมพื้นฐานอย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
นานกว่า 2 ปีมาแล้วที่เราได้เห็นนักวิเคราะห์เสียงแตกเกี่ยวกับอนาคตของราคาหุ้นบริษัทอุตสาหกรรมพื้นฐานอย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC
ล่าสุด หลังงบไตรมาสสุดท้ายหรืองวดสิ้นปี 2562 จบลง การปรับลดค่าพี/อี รวมทั้งราคาเป้าหมายปี 2563 ก็เกิดขึ้น โดยเสียงยังคงแตกต่างกันเช่นเดิมว่าระหว่างราคาเป้าหมาย 540 บาท (ราคาเกรงใจ) กับราคา 340 บาท อย่างไหนใกล้เคียงจะเกิดขึ้นมากกว่ากัน
ในภาพรวมรายได้ตลอดปี 2562 ลดลงไปไม่ถึง 10% แต่ความสามารถทำกำไรลดลงไปมาก กำไรสุทธิลดจากปีก่อนที่ 4.47 หมื่นล้านบาท ลดเหลือแค่ 3.20 หมื่นล้านบาท อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 6% เป็น 4% แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นยังเพียงพอที่ 26.68 บาท ไม่สะเทือนเพราะยังคงจ่ายปันผลครึ่งหลังได้อีกหุ้นละ 7.00 บาท รวมแล้วจ่ายทั้งปีหุ้นละ 14.00 บาท เป็นเครื่องประโลมใจผู้ถือหุ้น
ฝ่ายค่ายที่เชียร์ให้ซื้อมีเหตุผลว่า การที่ผลประกอบการไตรมาส 4/2562 ดีเกินคาด ทั้งที่ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนมากถึง 32% โดยที่กำไรปกติลดลงมากถึง 31% ถือเป็นข่าวดี เพราะเดิมคาดว่าจะเลวร้ายกว่าระดับดังกล่าว โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่ดีกว่าคาดมาก ที่สำคัญราคาหุ้นของ SCC ได้ตอบรับข่าวลบจนเกินจริงมากเกินเหตุจนล่าสุดราคาตลาดสูงกว่าบุ๊กแวลูแค่ 1.71 เท่า ต่ำสุดในรอบหลายปี
ฝ่ายค่ายที่เชียร์ให้ถือ มีมุมมองว่ากำไรปีนี้ ยังเผชิญความท้าทาย เป็นผลจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ส่วนต่าง เพราะต้องติดตามไวรัสโคโรนาในจีน ที่อาจจะมีผลต่อราคาปิโตรเคมีได้รวมทั้งผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีความกังวลต่อสถานการณ์ภัยแล้งและงบประมาณที่ล่าช้า ในขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากการส่งออกของประเทศที่ลดลงส่งผลต่อปริมาณการใช้กล่องบรรจุภัณฑ์กระดาษ
ฝ่ายที่มองเลวร้ายสุดในค่ายหลังบางรายถึงขั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้น SCC ไปก่อนจนถึงสิ้นปี
แม้จะเสียงแตก แต่นักวิเคราะห์ทุกสำนักล้วนแต่ระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะมีการปรับค่าพี/อีเป้าหมายใหม่ลดลงหมด ซึ่งหมายความว่า หากกำไรต่อหุ้นทรงตัว ราคาเป้าหมายของ SCC อาจลดลงไปจากปัจจุบันได้อีก
ท่าทีเชิงลบดังกล่าว ต่างจากเมื่อสามปีก่อน ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกต่อ SCC (ที่ผู้บริหารอยากให้คนทั่วไปรู้จักชื่อยี่ห้อ SCG มากกว่า) ทั้งนี้เพราะฉันทามติของนักวิเคราะห์หุ้น เกิดจากแนวโน้มผลประกอบการที่ถดถอยลงเป็นสำคัญ
ผลประกอบการของ SCC ที่เคยสะท้อนภาพของธุรกิจไทยโดยรวม เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ทำธุรกิจพื้นฐานของประเทศคือวัสดุก่อสร้าง กระดาษ และปิโตรเคมี พร้อมกับเครือข่ายธุรกิจเกี่ยวเนื่องมากมายในประเทศและอาเซียน
ไตรมาสสาม 2562 ที่ผ่านมา SCC มีกำไรสุทธิลดลงมาก ถึง 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนโดยมีตัวเลข “ขาดทุนพิเศษทางเทคนิค” จากการด้อยค่าสินทรัพย์ซึ่งมีการประเมินเป็นประจำทุกปี 1,670 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากธุรกิจปูน และวัสดุก่อสร้างในอินโดนีเซีย และไทย ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติ มีส่วนต่างราคาของธุรกิจเคมิคอลส์ปรับตัวต่ำลง แต่โชคยังดีที่มีรายการกำไรพิเศษจากการขายบริษัท Alliance Petrochemical Investment 770 ล้านบาทมาประคองเอาไว้
ไม่เพียงแต่บริษัทหลักที่ย่ำแย่ บริษัทที่ไปลงทุนร่วมก็พลอยย่ำแย่ไปด้วย เพราะ SCC รายงานว่ามีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมก็ลดลง จุดหลักคือส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนมาจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมิคอลส์ลดลงรุนแรง โดยหากเจาะลึกลงในรายละเอียด จะเห็นว่าแรงกดดันหลักมาจากธุรกิจเคมีที่ เคยเป็น “ไข่ห่านทองคำ” มีผลตอบแทนในช่วงขาลงเนื่องจากส่วนต่างของ HDPE, LDPE, LLDPE, PP และ PVC ลดลง รวมทั้ง ปริมาณการขายOlefins
แม้นักลงทุนบางกลุ่มจะปลอบใจตนเองว่า การที่กรรมการบริษัทตัดใจเอากำไรมาจ่ายปันผลอย่างใจป้ำเพื่อประคองความภักดีของนักลงทุน แบบที่เคยทำในงวดครึ่งแรกของปี แต่ก็คงต้องยอมรับว่า การถือครองหุ้น SCC จากนี้ไป เป็นความเสี่ยงเช่นกัน
โอกาสของ SCC ที่จะถูกปรับลดประมาณการด้านราคา และกำไรจึงยังมีความเป็นไปได้ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ยาก
ใครจะมองว่า “ในสายฝน มีสายฟ้า ในผาทึบ มีถ้ำทอง” พึงทบทวนให้ดีละกัน