วิบัติคู่ ศก.การเมือง
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ประเมินความเสียหายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า นักท่องเที่ยวจะหายไปประมาณ 5 ล้านคน สูญเสียรายได้ 2.5 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับภัยแล้ง และงบประมาณล่าช้า ถ้าสารพัดปัจจัยลบส่งผลรวมกัน จีดีพีอาจเติบโตเพียง 1.3% จากที่คาดไว้ 2.8%
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. ประเมินความเสียหายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า นักท่องเที่ยวจะหายไปประมาณ 5 ล้านคน สูญเสียรายได้ 2.5 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับภัยแล้ง และงบประมาณล่าช้า ถ้าสารพัดปัจจัยลบส่งผลรวมกัน จีดีพีอาจเติบโตเพียง 1.3% จากที่คาดไว้ 2.8%
บางคนอาจแย้งว่า ในวิกฤติก็มีโอกาส เช่น ค่าเงินบาทอ่อนลง ธุรกิจส่งออกหรือสินค้าในประเทศที่ต้องแข่งขันกับจีน น่าจะได้อานิสงส์ หรือถ้าประคองจนวิกฤติไวรัสผ่านพ้น เศรษฐกิจครึ่งปีหลังอาจพุ่งพรวด เหมือน IMF คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะเป็นรูปตัว V
แต่อย่าลืมว่า เศรษฐกิจวันนี้แย่เต็มที SME คนเล็กคนน้อย เกษตรกร แรงงาน อยู่ในสถานการณ์เหมือนต่อท่อหายใจ ถูกวิกฤติซ้ำเติมอีกครึ่งปี ยังจะรอตัว V ได้?
อีกมุมหนึ่งที่ IMF น่าจะไม่ได้วิเคราะห์ คือวิกฤติการเมืองโลกจะกระทบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระยะใกล้ไปถึงระยะยาว การเมืองโลกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน สหรัฐฯ-อิหร่าน ฯลฯ แต่หมายถึงความปั่นป่วนของระบบการเมือง ที่เกิดขึ้นทั่วไป
การเมืองโลกที่เคยมีประชาธิปไตยทุนนิยมเป็นต้นแบบ ตั้งแต่สิ้นสุดยุคสงครามเย็น ยึดหลักการค้าเสรี เปิดประเทศรับการเคลื่อนย้ายทุน เจอภัยเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ความเหลื่อมล้ำสูงลิบ วิกฤติแบบต้มยำกุ้ง ซับไพรม์ ทำให้คนล้มละลาย จนหันไปนิยมแนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจ เกิดพรรคการเมืองฝ่ายขวา กีดกันการค้า ผู้อพยพ บ้างก็อ้างศาสนา ศีลธรรม
ทรัมป์จึงชนะ อังกฤษจึงเกิด Brexit ผู้นำอำนาจนิยมแห่ชนะเลือกตั้ง ไม่นับจีน รัสเซีย ที่เป็นแบบอย่างให้อ้างว่า ระบอบผูกขาดอำนาจการเมืองทำให้เศรษฐกิจดี
แต่ระบอบเหล่านี้ก็สร้างความขัดแย้งรุนแรง และจะแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นทรัมป์คงชนะเลือกตั้งอีกครั้ง แต่คนเกลียดทรัมป์จะยิ่งเกลียด พรรคชาตินิยมฮินดูทำให้เศรษฐกิจโต แต่กีดกันมุสลิม 200 ล้านคน จนเกิดการประท้วงกฎหมายสัญชาติ ใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรง
หรืออย่างฮ่องกง ซึ่งยังไม่จบ ซ้ำวิกฤติไวรัสโควิด-19 ยังกระทบพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร
ในขณะที่เศรษฐกิจโลกก็เสี่ยง อย่างบางคนมองแง่ร้ายว่า “โลกกำลังคลั่ง ระบบกำลังพัง” เพราะเงินล้นเกินจากดอกเบี้ยต่ำ ระบอบอำนาจนิยมก็ไม่สามารถแก้เหลื่อมล้ำได้จริง และยิ่งสั่งสมความเกลียดชัง มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดการต่อต้านแบบไร้ทิศทางในหลาย ๆ ประเทศ
มองโลกแล้วกลับมามองไทย จะเห็นว่าเรานั่งเก้าอี้แถวหน้าด้วยซ้ำ หลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจย่ำแย่ทั้งที่ประเทศอื่นในภูมิภาคเติบโต วิกฤติโควิด-19 ไทย-ฮ่องกง ก็เจอผลกระทบหนักกว่าชาวโลก ขณะที่ทางการเมือง รัฐประหาร 5 ปี รัฐบาลสืบทอดอำนาจครึ่งปี สร้างความขัดแย้งไปจนเกลียดชังอย่างรุนแรง จนเจอ # ประณามเย้ยหยันซ้ำ ๆ
แต่รัฐบาลที่คนจำนวนมากไม่พอใจผลงาน ต่อต้าน ไปจนกระทั่งเกลียดชัง ก็สามารถอยู่ยงคงกระพัน ด้วยการเขียนกติกาเอื้อตัวเองไว้ตอนรัฐประหาร ซ้ำยังอาจก้าวเข้าสู่ “การเมืองเฟสใหม่” คือครองความเหนือกว่าโดยสัมบูรณ์ หากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 วัน
การเมืองเฟสนี้ จะเกิดความโกรธแค้นเกลียดชัง ต่อตัวระบอบ ต่อรัฐบาล อย่างรุนแรง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ถูกบังคับขืนใจภายใต้อำนาจปืน อำนาจกฎหมาย จะไม่มี 14 ตุลา พฤษภา 35 เพราะอำนาจเป็นปึกแผ่นเหนียวแน่น แต่ขณะเดียวกันเศรษฐกิจก็ยิ่งย่ำแย่ สังคมก็อยู่ในช่วง disrupt
อนาคตเป็นอย่างไร ตอบไม่ได้ เพราะเป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน เป็นวิกฤติที่อยู่เหนือการคาดการณ์ และไม่สามารถมองแง่ดีว่าจะมีทางคลี่คลาย