พาราสาวะถี
เมื่อมีฝ่ายค้านย่อมมีฝ่ายหนุนเป็นธรรมดา กรณีการตัดสินคดียุบพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ วันวานพูดถึงแคมเปญและการล่ารายชื่อรณรงค์คัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ผ่านเว็บไซต์ Change.org คล้อยหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็มีกลุ่มออกมาล่ารายชื่อหนุนการยุบพรรคอนาคตใหม่ผ่านเว็บไซต์เดียวกัน ซึ่งคงต้องไปดูที่เหตุผลว่าเพราะอะไร แต่หลายคนที่เห็นถ้อยคำที่ใช้แล้วอาจจะคุ้น ๆ และคาดเดาพวกริเริ่มได้ไม่ยาก
อรชุน
เมื่อมีฝ่ายค้านย่อมมีฝ่ายหนุนเป็นธรรมดา กรณีการตัดสินคดียุบพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ วันวานพูดถึงแคมเปญและการล่ารายชื่อรณรงค์คัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ผ่านเว็บไซต์ Change.org คล้อยหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็มีกลุ่มออกมาล่ารายชื่อหนุนการยุบพรรคอนาคตใหม่ผ่านเว็บไซต์เดียวกัน ซึ่งคงต้องไปดูที่เหตุผลว่าเพราะอะไร แต่หลายคนที่เห็นถ้อยคำที่ใช้แล้วอาจจะคุ้น ๆ และคาดเดาพวกริเริ่มได้ไม่ยาก
ทำผิดตั้งแต่ต้นเงินกู้ 191 ล้านบาทเป็นเหตุยุบพรรคอนาคตใหม่ ธนาธร-ปิยบุตรพูดถูกเงินกู้ไม่ใช่รายได้ แต่ถือเป็นประโยชน์อื่นใด และถ้าเกิน 10 ล้านบาทมีความผิด เพราะมาตรา 66 วรรค 2 ของกฎหมายพรรคการเมือง พรรคการเมืองจะรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเกินตามวรรคหนึ่งคือ 10 ล้านบาทไม่ได้ มีโทษตามมาตรา 125 อย่านำคนลงถนนเลยดูกันด้วยเหตุผลดีกว่า ถ้าธนาธรและปิยบุตรคิดว่าให้พรรคยืมเงินก้อนโตแบบนี้ได้ทั้งที่พรรคอื่นไม่ทำกัน มันก็ไม่ยุติธรรมกับพรรคอื่นเช่นกัน
ขณะที่ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาเช่นใด แต่ฝ่ายที่จงเกลียดจงชังพรรคของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็จะยกข้อกฎหมายมาชี้นำโดยตลอด อย่างที่บอกว่าการรณรงค์หนนี้ก็ไม่ต่างจากพวกที่จัดกิจกรรมเดินเชียร์ลุงนั่นแหละ รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วว่าใครเป็นใคร สิ่งสำคัญความน่าเชื่อถือของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและขบวนการอำนาจสืบทอดก็ถดถอยลงเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลการเลือกปฏิบัติและตั้งป้อมเล่นงานฝ่ายตรงข้ามจนเกินงาม
ไม่ต้องพูดถึงพรรคอนาคตใหม่ เอาแค่กรณีเปรียบเทียบวิ่งไล่ลุงกับเดินเชียร์ลุง ฝ่ายแรกถูกดำเนินคดีกันอุตลุด ส่วนฝ่ายหลังไม่มีอะไรมาทำให้ระคายเคืองผิวและพร้อมที่จะจัดกิจกรรมประกบคู่ขนานกับอีกฝ่ายได้ตลอดเวลาหากมีความเคลื่อนไหว การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความปรองดองขึ้นได้ ในเมื่อความยุติธรรมไม่มีก็หวังว่าสามัคคีมันจะเกิด นี่คนส่วนใหญ่ก็รอดูผลของการเสียบบัตรแทนกัน จะมีผู้ต้องรับผิดชอบหรือไม่
หากยึดมั่นในข้อกฎหมายตามคำโพนทะนาของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจริง ไม่ต้องอ้างว่าเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติและตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใด แต่ต้องกล้าที่จะป่าวประกาศถามหาความรับผิดชอบของคนที่กระทำผิด ไม่ใช่ปล่อยให้ลอยนวลอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ การปล่อยไว้เช่นนี้คนก็ย่อมมองว่า การอ้างความเป็นผู้วิเศษที่ยึดถือกฎหมาย ความถูกต้องเป็นหลักนั้นมันก็แค่วาทกรรมลวงโลก เพราะจะยึดกฎหมายก็เฉพาะที่ตัวเองได้ประโยชน์เท่านั้น ส่วนที่เป็นโทษกลับเลือกที่จะไม่พูดถึง
ไม่ต่างกันกับทางฟากนิติบัญญัติ การที่ ชวน หลีกภัย โยนให้กระบวนการตรวจสอบปมเสียบบัตรแทนกันเป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการกิจการสภา โดยที่ฝ่ายสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะทำงานของประธานสภาฯลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ย่อมเกิดคำถามตามมามากมายว่า แล้วมันจะคาดหวังอะไรได้อย่างนั้นหรือ ไม่มีทางที่ผลการตรวจสอบจะสามารถเอาผิดได้ เพราะคนที่เป็นประธานกรรมาธิการชุดนี้ก็เป็นส.ส.จากพรรคแกนนำรัฐบาล
ปัจจัยเสี่ยงของรัฐบาลนี้ก็คือเสียงปริ่มน้ำ แล้วมันจะมีส.ส.จากพรรคสืบทอดอำนาจหน้าไหนที่จะกล้าไปเล่นงานเอาผิดส.ส.พวกเดียวกันเพื่อทำให้เสียงของรัฐบาลตัวเองมีปัญหา อย่างไรก็ตาม วิธีการที่จะใช้คงไม่ใช่เหตุผลว่าตรวจสอบแล้วไม่มีความผิด แต่จะยึดยื้อกันทุกวิถีทาง อ้างเหตุผลสารพัดเพื่อซื้อเวลา ปล่อยให้คนลืมหรือจนกว่ารัฐบาลจะง่อนแง่น ถ้าจะแสดงความจริงใจต่อกระบวนการตรวจสอบ ต้องขีดเส้นเรื่องเงื่อนเวลาให้ชัดเจนว่าจะจบกันเมื่อไหร่
หากเป็นไปอย่างที่ เทพไท เสนพงศ์ ซึ่งเป็นกรรมาธิการในคณะนี้ด้วย อ้างขอให้มั่นใจการทำงานจะตรงไปตรงมา ไม่มีช่วยเหลือกันแน่ แต่บทสรุปที่บอกว่ามี 2 แนวทางคือ ถ้ากระทำผิดในการทำหน้าที่ของ ส.ส. ก็ยื่นให้ป.ป.ช.ดำเนินคดีอาญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ถ้าหากสอบสวนพบการกระทำผิดฐานบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ก็ยื่นให้คณะกรรมการจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาโทษตามข้อบังคับ ดูเหมือนว่าจะมีการหาทางลงให้กันไว้แล้วว่าจะเป็นแบบไหน
ความจริงเรื่องคดีอาญาหรือการทำผิดในหน้าที่ส.ส.นั้น เมื่อย้อนกลับไปดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ตัดสินร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ก็ชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า การเสียบบัตรแทนกันและกดบัตรแทนกันเป็นการกระทำผิดในการทำหน้าที่ส.ส.แน่นอน ความจริงไม่ต้องรอให้สภาส่งเรื่องไปให้ป.ป.ช.เองนั่นแหละ ที่ต้องรีบดำเนินการเรื่องนี้ให้มีข้อสรุปโดยเร็ว อย่าอ้างโน่นอ้างนี่เพราะยิ่งล่าช้าศรัทธาที่มันถดถอยจนเหลือน้อยนิดมันจะไม่มีเหลืออีกต่อไป
แต่งตัวกันมาพอสมควรที่สุด กรณ์ จาติกวณิช ก็ได้ฤกษ์ส่งผู้ร่วมก่อตั้งไปจดทะเบียนตั้งพรรคชื่อสั้น ๆ ว่า “กล้า” ความหมายมันมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากถามคือ ความกล้าในที่นี้หมายถึงกล้าที่จะปฏิเสธขบวนการสืบทอดอำนาจหรือไม่ กล้าที่จะลุกขึ้นสู้อำนาจที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยหรือเปล่า และยิ่งจะเข้ามาเป็นคู่ต่อกรหวังผลเจาะฐานเสียงของพรรคอนาคตใหม่ คำถามที่สำคัญคือ กล้าที่จะชนแบบไม่เกรงอกเกรงใจหรือไม่ หรือสุดท้ายก็เป็นพวกตีสองหน้าเหมือนนักการเมืองบางพวก
สิ่งที่จะทำให้เห็นทิศทางของพรรคการเมืองนี้ว่าจะเดินไปในแนวทางใด นอกจากผู้ก่อตั้งแล้ว คงต้องดูโฉมหน้าคนที่จะกระโดดมาร่วมขบวน ตามข่าวที่รู้มาในการระดมความคิดเห็นเพื่อก่อตั้งพรรคนั้น มีนักคิด นักบริหารเสนอแนะแนวทางกันจำนวนมาก รวมทั้งคนรุ่นใหม่ที่เป็นพวกหัวก้าวหน้า ประเภทว่าจะทำอะไร จะเป็นแบบไหนคิดกันได้ อ่านเกมกันไกล แต่พอมองไปยังอุดมการณ์ทางการเมืองที่จะต้องใช้ผูกมัดใจประชาชนนั้นยังหากันไม่เจอ