พาราสาวะถี
สนับสนุนและสุมหัวกับเผด็จการสืบทอดอำนาจจนเคยตัวหรืออย่างไรไม่ทราบ วันก่อน วิรัช รัตนเศรษฐ์ ประธานวิปรัฐบาลถึงได้ประกาศิต ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีร่วมคณะอีก 5 คนในสัดส่วนที่พูดถึงคสช.แค่ 20 เปอร์เซ็นต์ฝ่ายรัฐบาลก็รับกันได้ ไม่ประท้วงให้วุ่นวาย แต่หากมากไปกว่านั้นคงไม่ยอมปล่อยผ่าน เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มาตรฐานของสภาผู้แทนราษฎรคือให้ฝ่ายพรรคแกนนำเสียงข้างมากวินิจฉัยกันเสร็จสรรพไม่ต้องรอประธานสภาฯ ชี้ขาด
อรชุน
สนับสนุนและสุมหัวกับเผด็จการสืบทอดอำนาจจนเคยตัวหรืออย่างไรไม่ทราบ วันก่อน วิรัช รัตนเศรษฐ์ ประธานวิปรัฐบาลถึงได้ประกาศิต ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีร่วมคณะอีก 5 คนในสัดส่วนที่พูดถึงคสช.แค่ 20 เปอร์เซ็นต์ฝ่ายรัฐบาลก็รับกันได้ ไม่ประท้วงให้วุ่นวาย แต่หากมากไปกว่านั้นคงไม่ยอมปล่อยผ่าน เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มาตรฐานของสภาผู้แทนราษฎรคือให้ฝ่ายพรรคแกนนำเสียงข้างมากวินิจฉัยกันเสร็จสรรพไม่ต้องรอประธานสภาฯ ชี้ขาด
ทั้งที่ความจริงโดยมารยาทไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายแบบไหนก็ตามในสภาฯ การประท้วงของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถือเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่การวินิจฉัยชี้ขาดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยจะยึดเอาระเบียบข้อบังคับการประชุมเป็นหลัก คนที่ทำหน้าที่ประธานเองก็ไม่สามารถให้ความเห็นเป็นอย่างอื่นได้ เลยไม่รู้ว่าการทำงานในสภาฯ ในยุคอ้างปฏิรูปภายใต้ร่มเงาของเผด็จการสืบทอดอำนาจได้เปลี่ยนมารยาทอันดีงามนั้นไปแล้วอย่างนั้นหรือ
ความจริงไม่จำเป็นต้องสอพลอผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกันขนาดนั้น ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้คนที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมซึ่งไม่ได้หมายถึงเฉพาะ ชวน หลีกภัย เท่านั้น ยังมี สุชาติ ตันเจริญ และ ศุภชัย โพธิ์สุ ที่จะหมุนเวียนกันขึ้นทำหน้าที่ ให้คนเหล่านี้ได้ใช้ความสามารถในการบริหารจัดการสถานการณ์เฉพาะหน้าจะดีกว่า และดูจะเป็นความสวยงามตามระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนยอมรับกันได้
ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ดักคอตีกันกันไว้ก่อน ไม่รู้ว่ากลัวอะไรกันนักหนา ในเมื่อท่านผู้นำก็ประกาศอยู่แทบทุกวัน พร้อมชี้แจงทุกเรื่อง ทุกอย่าง เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ทำมาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน รับรองไม่มีปมทุจริตคิดไม่ซื่อ ก็ปล่อยให้ได้ชี้แจงในสิ่งที่ฝ่ายค้านจะทำการตรวจสอบกันไป ดีเสียด้วยซ้ำถ้ามีการย้อนกลับไปถึงยุคคสช.ที่ไร้การตรวจสอบ แล้วคณะสืบทอดอำนาจสามารถอธิบายได้ ก็จะถือเป็นการแสดงความโปร่งใสไปอีกต่างหาก
งานนี้เลยไม่รู้ว่าเข้าข่ายนายไม่ได้ว่าแต่ขี้ข้าสอพลอเองหรือเปล่า หรือด้วยความห้าวหาญกับการติดสอยห้อยตามเผด็จการกันมา จึงถึงขั้นกล้าที่จะประกาศว่าจะเสนอให้ปิดการอภิปรายหากฝ่ายค้านพูดย้อนหลังไปถึงรัฐบาลคสช.มากเกินไป ความจริงหากฟังสิ่งที่ วิษณุ เครืองาม ย้ำมาตลอดตอบได้ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็ขออภัย ยกมือไหว้ก็จบ มันก็แค่นั้น ที่เห็นเป็นสัจธรรมของการซักฟอกทุกยุคทุกสมัยก็คือ เสียงในสภาจะไร้ความหมายทันที หากรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายมีบาดแผลแล้วไม่สามารถปิดความฉาวโฉ่ได้
สถานการณ์ดีหน่อยก็แค่ปรับครม.เขี่ยคนที่มีปัญหาพ้นตำแหน่งไป เลวร้ายก็ถึงขั้นยุบสภาเพื่อเลือกตั้งกันใหม่ มันก็มีเท่านี้สำหรับการเมืองว่าด้วยการระบบเลือกตั้งของประเทศไทย ไม่ต้องไปถามหาสปิริตการลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ เพราะหากนักการเมืองมีน้ำใจนักกีฬากันจริง ปมเสียบบัตรแทนกันวันนี้เราก็คงได้เห็นคนยืดอกแสดงความรับผิดชอบกันไปแล้ว ซึ่งนอกจากไม่รับผิดอะไรแล้ว ยังจะตีเนียนปล่อยเวลาผ่านไปให้คนลืม ๆ กันไปเสียอย่างนั้น
นอกจากจะเล่นเกมดักคอฝ่ายค้านแล้ว พรรคสืบทอดอำนาจก็ยังจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลในนามของวิปจัดสัมมนาโดยเชิญ 6 รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกมาติวเข้มเพื่อรับมือด้วย มีความพร้อมกันขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะแสดงอาการปอดแหกกันทำไม เพราะงานนี้การมีวิษณุไปร่วมงานเพียงคนเดียวก็สามารถที่จะชี้นำ บอกเคล็ดลับในการเอาตัวรอดในสภาได้เป็นอย่างดีแล้ว ส่วนท่านผู้นำตามที่บอกอ้างว่าเป็นเรื่องฝ่ายการเมืองตัวเองจะไม่เข้าไปร่วม ก็คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้จะมีเซอร์ไพรส์อะไรไหม เพราะท่านจะชอบทำแบบนั้น
ประเด็นบ้านพักทหารของคนที่เกษียณอายุราชการแล้วไม่ยอมออก ฟังคำแก้ต่างของ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา แล้วก็อ่อนใจ ถ้าใช้เหตุผลเดียวกันกับท่านทั้งหมด ก็ไม่รู้ว่ากองทัพต้องทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างบ้านพักให้เพียงพอกับนายทหารที่ประจำการและเกษียณกันทุกหย่อมหญ้ากระมัง เพราะการบอกว่าเหตุที่ยังไม่ย้ายออกเนื่องจากบ้านพักอาศัยอยู่ไกลที่ทำงานทำให้เดินทางไม่สะดวก ขนาดมีรถนำขบวนยังอ้างกันขนาดนี้ ถ้าต้องเดินทางไปทำงานเหมือนชาวบ้านทั่วไปจะไม่รู้สึกว่าชีวิตนี้แสนลำบากเลยหรืออย่างไร
ทำตัวเป็นพวกถือยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นอภิสิทธิ์ชนจนเคยตัว จึงไม่ยอมที่จะละทิ้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกจัดไว้ให้ในยามที่มีหัวโขนเป็นผู้นำกองทัพ ด้วยเหตุนี้ไงเราจึงได้เห็นท่านผู้นำแสดงความโมโหที่ถูกนักข่าวบี้ถามเกี่ยวกับปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 บรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายเอาแต่ชี้นิ้ว สั่งการแก้ปัญหากันในห้องแอร์ ไม่ได้มาสัมผัสเดินทางแบบคนธรรมดากันบ้าง จะได้รู้กันว่าต้องสูดฝุ่นพิษกันขนาดไหน เห็นข้อแก้ตัวแบบนี้ จึงไม่แปลกที่คำสั่งไล่คนเกษียณพ้นบ้านพักของผบ.ทบ.มันจึงมีการวางหลักเกณฑ์แบบสองมาตรฐาน
ส่วนรายนี้ พลโทพงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่กำลังเตรียมย้ายออกจากบ้านพักหลวง โดยประกาศไขก๊อกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคทุกตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบแต่ประเด็นนี้ ไม่ต้องนำมาเป็นตัวอย่าง เพราะมันเป็นการจำนนด้วยหลักฐาน ซึ่งเจ้าตัวต้องยอมรับสภาพเสียงวิจารณ์ที่ถาโถมเข้ามาเอง แต่อย่างน้อยในอีกด้านก็ถือเป็นทหารที่มุ่งมั่นต่อการจะนำพากองทัพให้กลับเป็นทหารอาชีพ อย่าเข้ามาเกลือกกลั้วทางการเมือง ถ้าคิดจะเล่นการเมืองต้องลาออกหรือรอเกษียณก่อนแล้วค่อยว่ากัน
คนเริ่มตีความข้อเขียนของ ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ล่าสุด กับประโยคที่ว่า “ทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย” หรือนี่เป็นการยอมรับสภาพว่าอย่างไรเสียพรรคก็ถูกยุบแน่ แล้วเช่นนี้มันจะเกิดภาวะระส่ำระสายกับบรรดาส.ส.ของพรรคหรือไม่ ดูจากอาการแล้ว ส.ส.ที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค คงเข้าร่วมพรรคการเมืองที่มีไว้รอแล้วอย่างพร้อมเพรียง และไม่น่าส่งผลกระทบต่อการซักฟอกที่กำลังจะเกิดขึ้น
เหตุเพราะถ้าเปลี่ยนคอกไปอยู่ภายใต้พรรคของเผด็จการสืบทอดอำนาจ โอกาสที่จะได้กลับมาเป็นส.ส.นั้นคือศูนย์ ดังนั้น การไปร่วมหัวจมท้ายกันในภาวะที่ยากลำบากยังพอที่จะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนที่เชียร์พรรค และมีโอกาสที่จะได้กลับมาอีกในการเลือกตั้งครั้งหน้า อย่าลืมเป็นอันขาดการเมืองไทยฝ่ายที่ถูกกระทำมักจะได้รับคะแนนสงสารอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งทิศทางทั้งหมดคำตอบจะอยู่ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญศุกร์นี้ หมู่หรือจ่าอีกไม่กี่อึดใจได้รู้กัน