เชฟโลเล..หรือ.เชฟโรเลต
*ตอนแรก “โมนิก้า” ตั้งใจเม้าท์ถึงการทรุดตัวของดัชนีจนหลุดแนวรับสำคัญ 1,500 จุด เพื่อสะท้อนภาพความไม่มั่นใจของผู้เล่นที่มีต่อผลงานของบริษัทในไตรมาส 1 แต่เผอิญดันเหลือบไปเห็นข่าว จีเอ็ม รายงานผลกระทบต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นผลมาจากการปิดโรงงานสายการผลิตรถยนต์เชฟโรเลต จึงอยากเม้าท์ถึงประเด็นนี้เพื่อทำให้ทุกคนมองไปในภาพเดียวกันว่า ดราม่ายังไม่จบแค่นี้แน่ ๆ เจ้าค่ะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ตอนแรก “โมนิก้า” ตั้งใจเม้าท์ถึงการทรุดตัวของดัชนีจนหลุดแนวรับสำคัญ 1,500 จุด เพื่อสะท้อนภาพความไม่มั่นใจของผู้เล่นที่มีต่อผลงานของบริษัทในไตรมาส 1 แต่เผอิญดันเหลือบไปเห็นข่าว จีเอ็ม รายงานผลกระทบต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นผลมาจากการปิดโรงงานสายการผลิตรถยนต์เชฟโรเลต จึงอยากเม้าท์ถึงประเด็นนี้เพื่อทำให้ทุกคนมองไปในภาพเดียวกันว่า ดราม่ายังไม่จบแค่นี้แน่ ๆ เจ้าค่ะ
*เนื่องจากมีการบันทึกค่าใช้จ่ายสูงถึงระดับ 3.30 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นการยุติทำธุรกิจในประเทศไทย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ พร้อมกับสร้างแรงกระเพื่อมให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ครั้งใหญ่ เพราะเขาว่ากันว่า คนที่เพิ่งจองรถก่อนมีการประกาศปิดกิจการถึงกับน้ำตาตกใน เพราะพี่ท่านเล่นหั่นราคาทิ้งสูงถึง 50% จนกลายเป็นเรื่องทอล์กในหมู่คนทั่วไปน่ะซี
*ยิ่งมองในมุมของการรับประกันคุณภาพรถยนต์ 3 ปี หรือระยะทาง 1 แสนกิโลเมตร เทียบกับมาตรฐานของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งของเขามีกฎหมายบังคับให้ดูแลบริการหลังการขายอย่างน้อย 10 ปี แต่สำหรับประเทศไทยไม่มีกฎหมายตรงนี้รองรับ ยิ่งทำให้เห็นความเสี่ยงของการเอาตัวกระโดดลงไปเล่นในสนามนี้ และยังทำให้เห็นว่าคนที่เล่นรถตระกูลนี้พร้อมจะเผชิญปัญหาทุกอย่างนะจะบอกให้
*ด้วยเหตุนี้ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับลองพิจารณาข้อความที่ว่า เมื่อปรับโครงสร้างให้มีขนาดเล็กลง น่าจะทำให้การดูแลเรื่องเคลมและสั่งอะไหล่ ครอบคลุมแน่นอน พร้อมกับมีการเอ่ยถึง “ดีลเลอร์” อาจต้องปรับเปลี่ยนจากโชว์รูมขายไปเป็นการขายค่ายอื่น และให้ศูนย์บริการคงอยู่ต่อไปนั้น เดี๊ยนมองเป็นเรื่องที่บ้าเกินไปไหม ? เพราะในข้อเท็จจริงคงไม่มีใครกล้าทำในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ (เอาเงินไปเผาทิ้งเปล่า ๆ) หรอกค่ะ
*ข้อมูลทั้งหมดที่ “โมนิก้า” เอื้อนเอ่ยให้ฟังในเที่ยวนี้ น่าจะเป็นเรื่องของฝ่ายบริหารหัวทองที่เดินเกมแบบแทงกั๊ก เพื่อทำให้ทุกคนเห็นอกเห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในมุมของเดี๊ยนกลับมองเป็นการเลี้ยงไข้ ซึ่งไม่เป็นผลดีกับผู้คนที่เกี่ยวข้องทั้งนั้น สู้วันนี้ทำให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยยังดีกว่าปล่อยให้ยืดเยื้อ ซึ่งเรื่องนี้เปรียบเหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยทุกประการ โดยเฉพาะมุมของการเลือกหุ้นดี ซึ่งไม่นิยมแก้ข่าวร้ายแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ (บอกก็บอกให้หมด ทุกคนจะได้ทำใจ) มันช่วยให้แมงเม่าเคาะหุ้นง่ายขึ้นนะคะ
*ประเด็นที่เกริ่นนำข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” มองการยืนปิดที่ระดับ 1,491.24 จุด ลบไป 14.30 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.55 หมื่นล้านบาท ก็เป็นผลมาจาก “ความเชื่อ” กับ “ความจริง” มักเดินสวนทางกันตลอดเวลา ดัชนีเลยมีอาการแทงกั๊กเป็นเวลานาน ก่อนจะยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าผลงานของบริษัทจดทะเบียนไม่หนุนแล้วแน่ ๆ ดัชนีถึงร่วงผล็อยลงมาต่ำกว่าแนวรับสำคัญไงล่ะคะ
*ตรงนี้เองที่ทำให้หุ้นน้องใหม่ CRC ของตระกูล “จิราธิวัฒน์” มีอาการเครื่องรวนตั้งแต่เปิดเทรดตอนเช้า ซึ่งเป็นผลมาจากบรรยากาศตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ผนวกกับมีเสียงเม้าท์มอยให้แซ่ดถึงกำไรงวดล่าสุดลด 5% “โมนิก้า” เลยเกิดอาการหวั่นใจถึงผลกระทบที่จะตามมาในอนาคต เลยอยากให้แฟนคลับมองดูอีกครั้งว่าการยืนปิด 41.75 บาท ลบไป 0.25 บาท เทียบกับราคาจอง 42 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.54 พันล้านบาท เหมาะต่อการเข้าเก็บไหม ?..อิอิอิ
*เหมือนกับในรายของ ADVANC ไหลลงมากองอยู่ที่ 206 บาท ลบไป 4 บาท หรือลงไป 1.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.74 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเกมที่นักเล่นต้องคิดในมุมของภาระที่มาพร้อมกับคลื่น 5G มันมากขนาดไหน ? รวมทั้งกองทุนยังจะเล่นบทป๋าดันอีกไหม ? หลังทิศทางของหุ้นอยู่ในโมเมนตัมไซด์เวย์เป็นหลัก แต่ก็มีบางครั้งที่หุ้นทิ้งตัวลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่นะจะบอกให้
*ตบท้ายกันที่น้องสีทนได้ TOA เพื่อทำให้นักเล่นเห็นชัดต่อภาพธุรกิจ “สีทาบ้าน” มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจ “อสังหาฯ” “โมนิก้า” ถึงแปลกใจมาก ๆ ที่ในช่วงไตรมาส 4 ปีก่อนหุ้นพุ่งขึ้นถึง 47.50 บาท ขณะที่ปีนี้ไหลลงมากองอยู่ที่ 33 บาท ลบไป 0.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 128 ล้านบาท น่าจะเป็นภาพที่ฟ้องให้รู้ว่า เกมจบแล้วครับนาย! แมงเม่าไม่ควรแหย่มือเข้าไปรับของร้อนเป็นอันขาด ไม่เชื่อลองไปถาม “เฮียประจักษ์” ดูก็ได้ (กำไรไม่โต หุ้นก็ไม่ขึ้น) เจ้าค่ะ