นับถอยหลัง
รอฟังอยู่นะ ภาคธุรกิจ นักวิเคราะห์ จะออกมาพูดไหม ว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เศรษฐกิจดี เพราะ “การเมืองนิ่ง” รัฐบาลมั่นคง เสียงไม่ปริ่มน้ำแล้ว ผลักดันนโยบายได้เต็มที่
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
รอฟังอยู่นะ ภาคธุรกิจ นักวิเคราะห์ จะออกมาพูดไหม ว่าการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เศรษฐกิจดี เพราะ “การเมืองนิ่ง” รัฐบาลมั่นคง เสียงไม่ปริ่มน้ำแล้ว ผลักดันนโยบายได้เต็มที่
ไม่ยักมีใครพูด คงกลัว FC อนาคตใหม่ถล่ม แต่เชื่อว่ามีคนสายตาสั้นอย่างนั้นจริง
การเมืองที่สร้างความขัดแย้งรุนแรง กระทบเศรษฐกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะผลทางการเมืองของการยุบพรรคอนาคตใหม่ คือประชาชนที่เลือกพรรคฝ่ายค้าน ประชาชนที่เบื่อหน่ายรัฐบาล จะหมดหนทางเปลี่ยนรัฐบาลได้ ในวิถีทางรัฐสภา จะต้องทนเห็น#รัฐบาลเฮงซวย ผู้นำรัฐประหาร นักการเมืองกเฬวราก ที่กัดกันแย่งตำแหน่ง ช่วงชิงผลประโยชน์ ลอยหน้าลอยตาไปจนครบสี่ปี
พอครบสี่ปี 250 ส.ว.ก็เลือกกลับมาอีก ถ้าเสียงปริ่มน้ำ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ก็อาจยุบพรรคอีก
หนทางเดียวที่จะเปลี่ยนรัฐบาลได้ จึงมีแต่ใช้พลังนอกสภา ใช้การเคลื่อนไหวนอกสภา หลายคนจึงบอกว่านี่เป็น Point of no return ต่างจากยุบพรรคพลังประชาชน ตั้งพรรคเพื่อไทย ซึ่งยังหวังเอาชนะในการเลือกตั้ง แต่ระบอบปัจจุบัน ปิดกั้นหนทางหมดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่สามารถเปลี่ยนแค่รัฐบาล ต้องเปลี่ยนทั้งเครือข่ายอำนาจ ปฏิรูปทหาร ยุบองค์กรอิสระ แก้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ค้ำรัฐบาลนี้อยู่
แน่ละ มันไม่ง่ายที่จะ “ลงถนน” นี่ไม่ใช่ยุคที่จะเกิด 14 ตุลา พฤษภา 35 การเคลื่อนไหวจะถูกชี้หน้าว่าทำลายความสงบของประเทศ ภาคเศรษฐกิจก็จะรุมถล่ม เหมือนที่รุมด่าม็อบฮ่องกง ให้ยอมจำนนเพื่อปากท้อง ขณะเดียวกัน ธรรมชาติของพลังประชาธิปไตยก็รักสงบ แค่ต้องการให้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ถูกอำนาจใดมาทำลายพรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกตั้ง
พลังประชาธิปไตยไม่มีเชื้อคลั่งเหมือนพวกอ้างชาติอ้างศีลธรรม ที่พร้อมใช้ความรุนแรงไม่บันยะบันยัง เว้นแต่ถูกกระทำจนเหลืออด
แต่มันก็เป็น Dilemma สำหรับฝ่ายประชาธิปไตยเช่นกัน คือถ้าไม่สู้ก็เท่ากับยอมจำนน เครือข่ายอำนาจนี้จะอยู่ไปอีกยี่สิบปี หรือชั่วกัลปาวสาน ที่บอกให้ธนาธร ปิยบุตร รออีกสิบปี เป็นเรื่องตลก หมดประยุทธ์ก็มีผู้นำอนุรักษนิยมคนใหม่ มีวิษณุคนใหม่ มีศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระชุดใหม่ สืบทอดอำนาจไปเรื่อย ๆ
ที่เรียก Point of no return จึงมีความหมายว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมบังคับให้พลังประชาธิปไตยต้องโค่นพวกตนด้วยวิถีทางนอกรัฐสภาเท่านั้น ทั้งที่พลังประชาธิปไตยไม่ต้องการ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ภาวะอย่างนี้จึงเป็นการสุมไฟ ในขณะที่เศรษฐกิจย่ำปากท้องแย่ กระแสโลกก็อยู่ในยุค Anti-establishment เกิดการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ไร้แกนนำ ต่อต้านอำนาจรัฐ ไม่พอใจโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่เหลื่อมล้ำสูงลิบ ซึ่งยังไม่มีใครทำนายออก ว่าจะส่งอิทธิพลถึงประเทศไทยเพียงไร
ท่าทีของต่างชาติจึงทักท้วง กังวล แม้พวกรักชาติเคารพศาลด่ากราด ประวิตรบอกว่ารัฐธรรมนูญใครรัฐธรรมนูญมัน แต่ประเด็นสำคัญในคำแถลงของสหรัฐฯ อียู คือความไม่มั่นใจการเมืองไทย ซึ่งเขามองว่าจะไม่สงบแน่ แม้ใครจะบอกว่าไม่มีม็อบหรอก แต่ด้านการค้าการลงทุน ไม่เสี่ยงดีกว่า ในเมื่อประเทศอื่นยังดูมีอนาคตกว่า ศักยภาพของไทยก็ไม่ได้โดดเด่นอีกแล้ว
ยาสุฮิโตะ อาซามิ ผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทยมหาวิทยาลัยโฮเซก็บอกว่า เรื่องนี้เพิ่มความกังวลของนักลงทุนญี่ปุ่น ต่อเสถียรภาพการเมืองไทย ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว
อย่าว่าแต่ต่างชาติเลย ทุนไทยก็ยังเผ่นออกนอกประเทศ แม้ด้วยหลายเหตุปัจจัย คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถจำนวนมาก ก็อพยพไปทำงานต่างประเทศอย่างเงียบ ๆ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
ประเทศนี้ไม่ใช่แค่นับถอยหลังทางการเมือง แต่ทางเศรษฐกิจและทางภูมิปัญญาด้วย