เลิกเพ้อเจ้อ (เสียที)
*ใจจริง “โมนิก้า” ไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้ตลาดหุ้นไทยต้องพังพาบไม่เป็นท่า แต่เผอิญเห็นกูรูในตลาดหุ้นยังส่งเสียงเชียร์ให้ลุยซื้อหุ้นต่อไปเรื่อย ๆ จึงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นเรื่องที่พูดขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น เลยต้องออกมาปะฉะดะเพื่อให้ทุกฝ่ายออกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า “ขายก่อนแล้วช้อนคืน” ดีไหมเจ้าคะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ใจจริง “โมนิก้า” ไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และไม่ได้มีจุดมุ่งหมายให้ตลาดหุ้นไทยต้องพังพาบไม่เป็นท่า แต่เผอิญเห็นกูรูในตลาดหุ้นยังส่งเสียงเชียร์ให้ลุยซื้อหุ้นต่อไปเรื่อย ๆ จึงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็นเรื่องที่พูดขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น เลยต้องออกมาปะฉะดะเพื่อให้ทุกฝ่ายออกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า “ขายก่อนแล้วช้อนคืน” ดีไหมเจ้าคะ
*เนื่องจากข้อมูลที่เห็นในตอนนี้คือผลงานของบริษัทต่าง ๆ ลดลงเป็นแถว “โมนิก้า” ถึงพยายามจำลองภาพเหตุการณ์ในอนาคตจะออกมาในรูปไหน ? เพราะสิ่งที่เห็นทนโท่ในตอนนี้คือ กำไรไตรมาส 1 ออกมาแย่แน่นอน ซึ่งเป็นผลกระทบจากสารพัดปัญหา ส่วนกำไรไตรมาส 2 ก็ต้องมาลุ้นกันอีกทีจะฟื้นตัวไหม ? ขณะที่กำไรในไตรมาส 3 น่าจะเป็นจุดที่ทุกคนได้กอบโกยกันอย่างถ้วนหน้า ซึ่งจะทำให้กำไรในไตรมาส 4 น่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจจ้า!
*ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับการทรุดตัวของดัชนีในระหว่างวัน ก่อนจะเด้งกลับในช่วง 1 ชั่วโมงสุดท้าย พร้อมกับปิดไปที่ระดับ 1,495.09 จุด บวกไป 3.85 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.61 หมื่นล้านบาทแบบนี้ เมื่อนำตรรกะข้างต้นมาใส่สูตรคำนวณ (บนทฤษฎีกำไรต่อหุ้นปี 2563 ลดลงเหลือ 98 บาทเทียบกับพี/อี 15 เท่า ดัชนีน่าจะยืนอยู่ที่ 1,470 จุด) จะเห็นว่าดัชนียังมีโอกาสลงต่อ แถมเมื่อเผื่อใจด้วยการบวกลบ 10% มันไม่มีมุมที่ทำให้เชื่อว่าดัชนีจะโผล่หัวขึ้นมายืนเหนือ 1,500 จุดได้เลยพับผ่าซิ!
*เหมือนกับในรายของ PTTGC ต่อให้พูดปากเปียกปากแฉะว่าน่าซื้อขนาดไหน ? ก็คงไม่มีกองทุนหน้าไหนกล้าสวมบทเป็นป๋าดันอย่างแน่นอน เพราะเมื่อดูจากกำไรลดฮวบเป็นธงนำในการเข้าซื้อ “โมนิก้า” บอกได้ทันทีว่าราคาหุ้นที่ยืนบริเวณ 50 บาทถือเป็นจุดที่เต็มกลืนเหลือเกินจริง ๆ เลยอยากให้แฟนคลับประเมินกันเอาเองว่า การยืนปิดที่ 50 บาท บวกไป 0.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 625 ล้านบาท คุ้มไหม ?
*คล้ายกับกรณีของเจ้าพ่อถ่านหิน BANPU โดนทิ้งลงมาแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย จนสุดท้ายลงมายืนปิดที่ 9.10 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 7.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 983 ล้านบาท พร้อมกับทำจุดต่ำสุดในรอบ 16 ปี “โมนิก้า” ถือเป็นข้อมูลที่นักเล่นต้องนำไปประกอบการลงทุน ว่าแรงขายที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้มันเป็นผลจากอะไร ? ผสานกับค่า P/E 20 เท่า มันจูงใจให้นิ้วกระดิกเพื่อเคาะขวาหรือเปล่า ?
*อีกรายที่น่าเป็นห่วงไม่มากก็น้อยคงยกให้กับ CBG เพราะเริ่มมีการเม้าท์ถึงสัดส่วนที่เข้าไปลงทุนในจีน และครอบคลุมถึงกลุ่ม CLMV มีมากถึง 10% ซึ่งเป็นจุดที่อาจกระทบกับกำไรอย่างมีนัยสำคัญ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับลองเช็กข่าวกันดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ และอยากให้มองการยืนปิดที่ระดับ 83 บาท ลบไป 4.50 บาท หรือลงไป 5.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.01 พันล้านบาท ท่ามกลาง P/E 40 เท่า มันเป็นเรื่องเมกเซนส์กับสถานการณ์ตอนนี้ไหมเอ่ย ?
*เม้าท์ถึงตรงนี้ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” คงให้ความสำคัญกับหุ้น HMPRO อีกสักหน่อย เพราะปัจจัยที่ทำให้หุ้นทิ้งดิ่งลงมาตั้งแต่ปลายปีก่อนต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ น่าจะเป็นช็อตที่ทำให้หลายคนกระเป๋าฉีกกันถ้วนหน้า ประจวบกับต้องมาเผชิญไวรัสนรกเล่นงาน ธุรกิจทุกภาคส่วนหงอยเหงา กำลังซื้อหดหายไปเป็นจำนวนมาก เดี๊ยนถึงสังหรณ์ใจเหลือเกินว่า การยืนปิดที่ 13.60 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 2.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 447 ล้านบาท ไม่ใช่จุดต่ำสุดเสียแล้ว และมีสิทธิ์ลงไปยืนต่ำ 10 บาทเหมือนในช่วง 3 ปีก่อนนะคะ
*เมื่อตัวแปรหลายอย่างไม่จูงใจให้เงินแพร่สะพัด ธุรกิจโฆษณาตัวพ่ออย่าง VGI เลยได้รับผลกระทบตามไปด้วยโดยปริยาย “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่เห็นราคาหุ้นร่วงลงมายืนอยู่ที่ 8.15 บาท ลบไป 0.15 บาท หรือลงไป 1.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 275 ล้านบาท เพราะสัญญาณการหดตัวมันเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. และจะเด่นชัดขึ้นเมื่อปิดงวดบัญชีในเดือน มี.ค. จึงต้องทำใจกับการอ่อนตัวของหุ้นในเที่ยวนี้เจ้าค่ะ
*ส่วนรายที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น AU หลังเจอพรรคพวกกันเองถล่มขายลงมาเรื่อย ๆ เป็นเวลาร่วมครึ่งปี จนล่าสุดหุ้นลงมายืนปิดที่ 8.70 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 3.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขายแค่ 64 ล้านบาท เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่าพวกขาประจำไม่อยากกอดหุ้นไว้ในพอร์ต ถึงรินหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องแบบนี้ “โมนิก้า” คงแนะนำได้แต่เพียงว่า โกยเถอะโยม!
*ประเด็นนี้ทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้นน้ำมันหอย SEAOIL ขึ้นมาในทันที เพราะเป็นหุ้น “เดี๋ยวลาก เดี๋ยวทุบ” กันอย่างสนุกมือ แถมวอลุ่มเล่นก็ผลุบ ๆ โผล่ ๆ แต่สุดท้ายก็จอดไม่ต้องแจวอยู่ดี เดี๊ยนถึงอยากให้แมงเม่าอ่านเกมดังกล่าวให้ออก เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของก๊วนขาปั่นน่องเหล็ก หลังหุ้นร่วงลงมาปิดที่ 3.26 บาท ลบไป 0.14 บาท หรือลงไป 4.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 14 ล้านบาทแล้วน่ะซี