สงครามยังไม่จบ..อย่าเพิ่งนับศพ
*วันนี้ขอเรียนให้แฟนคลับรับรู้ทั่วไปอีกครั้งว่า ความวิตกกังวลต่อไวรัสมรณะที่แผ่ขยายวงกว้างจนเกินควบคุมที่เกิดขึ้นในคราวนี้ กลายเป็นตัวกัดกร่อนความมั่นใจการลงทุนทั่วโลก “โมนิก้า” ถึงไม่มีเวลาไปแสวงหาข้อมูลในเชิงบวกมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ เพราะสิ่งที่ต้องรู้ให้ได้ก็คือ เรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นจะจบเมื่อไหร่ ? เพราะตรงนั้นจะเป็นจุดเช็กความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ชัดเจนสุดพะยะค่ะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*วันนี้ขอเรียนให้แฟนคลับรับรู้ทั่วไปอีกครั้งว่า ความวิตกกังวลต่อไวรัสมรณะที่แผ่ขยายวงกว้างจนเกินควบคุมที่เกิดขึ้นในคราวนี้ กลายเป็นตัวกัดกร่อนความมั่นใจการลงทุนทั่วโลก “โมนิก้า” ถึงไม่มีเวลาไปแสวงหาข้อมูลในเชิงบวกมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ เพราะสิ่งที่ต้องรู้ให้ได้ก็คือ เรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นจะจบเมื่อไหร่ ? เพราะตรงนั้นจะเป็นจุดเช็กความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ชัดเจนสุดพะยะค่ะ
*ยิ่งมองไปถึงการจัดกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศญี่ปุ่น “เลื่อน” หรือ “ไม่เลื่อน” จะถูกตัดสินในช่วงเดือน พ.ค. ยิ่งเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกท่านได้รู้ว่า ต้องอยู่กับวิกฤติตรงนี้ไปอีกอย่างน้อย 2 เดือนแบบนี้ “โมนิก้า” ถึงมองไม่ออกเหมือนกันว่า ตัวเลขเศรษฐกิจจะยับเยินเท่าไหร่ ? มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นไทยจะหายวับไปเท่าไหร่ ? รวมทั้งแมงเม่าจะกระเป๋าฉีกไปเท่าไหร่ ? เดี๊ยนมองไม่ออกจริง ๆ นะตัวเอง
*ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้ “โมนิก้า” ไม่ให้ราคาการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพราะเท่าที่ดูก็เป็นเรื่อง “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง!” ข้อมูลเรื่อง IO ทหาร ที่คนของพรรคส้มหวานนำออกมาแฉหนัก สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า อดีตสมาชิกก็ออกมาจวกหนักเช่นกันว่า ส้มหวานก็ทำเหมือนกัน (แต่ทำหนักกว่า) เดี๊ยนถึงมองความเฮงซวยของพรรค “สีเขียว” และ “สีส้ม” ฯลฯ ซึ่งเป็นความระ..ตำบอนที่พอกันเจ้าค่ะ
*งานนี้ใครจะหาว่าเดี๊ยนแสดงอารมณ์รุนแรงเกินเหตุก็ช่างหัวปะไร! เพราะสิ่งที่เห็นมีแต่เรื่องสร้างความแตกแยก และเอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งกันทั้งนั้น “โมนิก้า” ถึงมองเกมการเมืองในยุคนี้ยังน้ำเน่าเหมือนเดิม และย้ายไปเป็นการสู้รบทางความคิดบนโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยเฟกนิวส์ เดี๊ยนเลยถือโอกาสนี้ย้ำหัวหมุดอีกครั้งว่า ภาคธุรกิจที่อยู่ในตลาดหุ้นเขาไม่ให้ราคาพวกนักการเมืองกะโหลกกะลา (ถ้าไม่เกิดวิกฤติไวรัส เขาเอาตัวรอดกันได้) หรอกนะจ๊ะ
*ฉะนั้นการที่ดัชนีดีดกลับขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,395.08 จุด บวกไป 28.67 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.45 หมื่นล้านบาท น่าจะเป็นเพียงเทคนิเคิลรีบาวด์ ซึ่งไม่ใช่จุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดหุ้นไทย “โมนิก้า” ถึงพยายามให้นักเล่นเข้าใจบริบทของเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้ เพราะทุกคนต้องอยู่ในภาวะอึมครึมแบบนี้อีกระยะหนึ่ง จึงไม่อยากให้แฟนคลับคาดหวังอะไรที่สวยงามไปกว่าที่เป็นอยู่นะจะบอกให้
*เหมือนสถานการณ์ของหุ้น BAM หลายคนอาจมองอยู่ในมุมที่แจ๋วสุด ๆ แต่เมื่อขอดเกล็ดถึงเนื้อในการทำกำไร จะเห็นว่าอัตราการเติบโตของกำไรก็อยู่ในระดับ 10% ตั้งแต่ตอนเข้าตลาด และเมื่อเข้าตลาดก็ยังอยู่ในระดับเดิม แต่ด้วยบุญเก่าที่สะสมมาค่อนข้างเยอะ จึงขายสมบัติเก่าได้ราคาค่อนข้างดี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้กำไรพุ่ง “โมนิก้า” เลยฟันธงลงไปเลยว่า หากขายของเก่ากินได้ไม่เยอะ ก็จะกลายเป็นหุ้นดาด ๆ ซึ่งจะทำให้ราคาปิดที่ระดับ 28 บาท บวกไป 0.75 บาท หรือขึ้นไป 2.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.49 พันล้านบาท กลายเป็นของแพงไปโดยปริยาย..ไม่เชื่อลองถามเฮีย “บรรยง” ดูซิคะ
*ส่วนที่มาในรูปแบบ “อัฐยายซื้อขนมยาย” ต้องยกให้กับดีล BDMS ประกาศเทนเดอร์ฯ หุ้นโรงพยาบาล BH ซึ่งในทาง “พฤตินัย” และ “นิตินัย” ก็รับรู้กันมาตั้งนานแล้วว่า เจ้าของเดียวกัน! เพียงแต่ตอนนี้ทำให้มันสมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าเดิม “โมนิก้า” เลยมองเงินที่ควักออกไป 8.50 หมื่นล้านบาท เป็นการโยกกระเป๋าซ้ายใส่กระเป๋าขวา บวกกับใช้กลยุทธ์ตั้งซื้อสูง หุ้นถึงวิ่งขึ้นมาปิดที่ 130 บาท บวกไป 18 บาท หรือขึ้นไป 16% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.36 พันล้านบาท ส่วนราคาหุ้นฟากคนซื้อก็พุ่งขึ้นมาปิดที่ 23.20 บาท บวกไป 1.30 บาท หรือขึ้นไป 5.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.61 พันล้านบาทเจ้าค่ะ
*ตบท้ายกันที่ควันหลงของน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดหุ้นอย่าง บมจ.ไซมิสฯ สักนิดหนึ่ง หลังพรายกระซิบร้อยท่อต่อสายตรง พร้อมกับมีการชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบละเอียดยิบ ซึ่งมีประเด็นที่ “โมนิก้า” ให้ความสนใจมากสุดตรงที่ “ขจรศิษฐ์” ยืนยันเหตุการณ์ในอดีตเป็นเรื่องกฎระเบียบของตลาดหุ้นไม่เอื้อต่อการเอาธุรกิจใหม่เข้าสวม จึงตัดสินใจแยกตัวออกมาปั้นธุรกิจ พร้อมกับการันตีผลงานสวยเช้ง!..ทราบแล้วบอกต่อด้วยนะคะ