พาราสาวะถี

ตรึงสถานการณ์กันเต็มที่เพื่อให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ในวงจำกัดระยะที่ 2 แต่พลันที่กระทรวงสาธารณสุขแถลงข่าวมีคนตายด้วยโรคดังกล่าว 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 35 ปี น่าจะเริ่มมีปุจฉาขึ้นมาทันใดว่า ที่ว่าเอาอยู่ดูแลได้ ควบคุมไหว มันจะไปไม่รอดกันหรือเปล่า โดยเฉพาะในภาวะที่รัฐบาลกำลังเผชิญกับวิกฤติศรัทธา แม้จะสามารถผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ไม่มีอะไรให้ตราตรึงเลยแม้แต่น้อยในส่วนของพรรคเพื่อไทยไปก็ตาม


อรชุน

ตรึงสถานการณ์กันเต็มที่เพื่อให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ในวงจำกัดระยะที่ 2 แต่พลันที่กระทรวงสาธารณสุขแถลงข่าวมีคนตายด้วยโรคดังกล่าว 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 35 ปี น่าจะเริ่มมีปุจฉาขึ้นมาทันใดว่า ที่ว่าเอาอยู่ดูแลได้ ควบคุมไหว มันจะไปไม่รอดกันหรือเปล่า โดยเฉพาะในภาวะที่รัฐบาลกำลังเผชิญกับวิกฤติศรัทธา แม้จะสามารถผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ไม่มีอะไรให้ตราตรึงเลยแม้แต่น้อยในส่วนของพรรคเพื่อไทยไปก็ตาม

ต้องเข้าใจว่าปัญหาโควิด-19 เป็นเรื่องระดับโลก อาการตื่นตระหนกกระจายตัวไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในประเทศไทยฝ่ายกุมอำนาจ พยายามสื่อสารกับประชาชนตลอดเวลาว่ามีมาตรการรองรับ ทว่าการที่ประกาศให้โรคดังกล่าวเป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงลำดับที่ 14 ย่อมเป็นสัญญาณว่า โอกาสที่การแพร่ระบาดจะเข้าสู่ระยะที่ 3 นั้นมีความเป็นไปได้สูง จุดชี้วัดสำคัญอยู่ที่พวกเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยงแล้วปกปิด พวกที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวและไม่ใส่ใจแยแสสังคม คนเหล่านี้คือพาหะที่จะนำพาประเทศไปสู่จุดนั้น

ขณะเดียวกัน ก็มองข้ามไม่ได้ว่าด้วยปัจจัยทางการเมืองที่แฟลชม็อบของกลุ่มนักเรียน นักศึกษากำลังไหลลามไปทั่วประเทศ จากปัญหาด้านสาธารณสุข เรื่องในมิติทางสังคม อาจถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อขีดวงความเคลื่อนไหวของบรรดาปัญญาชนเหล่านั้น เข้าใจหัวอกของผู้บริหารสถานศึกษาทั้งระดับขาสั้นและอุดมศึกษา ต้องรับนโยบายมาจัดการพวกจัดชุมนุมในสถานที่ซึ่งตัวเองบริหาร หากเป็นคนที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็คงไม่มีแอ๊กชันอะไรให้ขัดหูขวางตา

ที่มองข้ามกันไม่ได้คงเป็นพวกกลางกระเท่เร่ เพราะคนพวกนี้ไม่ต้องรอให้ฝ่ายการเมืองมาสั่ง เนื่องจากเลือกข้างมาตั้งแต่ยังไม่เกิดการรัฐประหาร ดังนั้น เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือเชื่อมั่นของรัฐบาลสืบทอดอำนาจที่ตัวเองยกหางและถือหาง ย่อมจะมีการสั่งการจะด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรก็แล้วแต่ ตีกรอบ กีดกันกระบวนการการเคลื่อนไหวของเหล่านักเรียน นิสิตนักศึกษาเหล่านั้น อย่าได้ถามว่าคนเหล่านี้อายไหม เนื่องจากเป็นพวกอย่างหนาเหมือนเผด็จการที่ตัวเองสยบยอมอยู่ใต้อุ้งตีน

อย่างไรก็ตาม มาถึงนาทีนี้ต้องยอมรับว่าการลุกขึ้นมาของบรรดานักเรียน นิสิต นักศึกษาถือว่า จุดติด” แล้ว บนเครื่องหมายคำถามว่า เป็นการจุดติดที่จะเดินไปในทิศทางเดียวกัน ความเชื่อเดียวกัน และเป้าหมายเดียวกันหรือไม่ หากเป็นเนื้อเดียวกัน มันย่อมจะมีโอกาสพัฒนากลายเป็นแรงสะเทือนไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การหลอมหลวม มัดแน่นด้วยอุดมการณ์เดียวกันมันเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่ฝ่ายถนัดการสร้างปฏิบัติการข่าวสารหรือไอโอจะทำลายความน่าเชื่อถือได้

เกือบ 6 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราได้ยินจากปากของเผด็จการสืบทอดอำนาจมาเป็นระยะคือ การอ้างตัวบทกฎหมาย ตบท้ายด้วยโฆษณาชวนเชื่ออย่าให้ใครมายุยง ปลุกปั่น ชี้นำ ทั้งที่ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ในยุคโซเชียลมีเดีย ถามว่า ใครหลอกเด็กพวกนี้ได้หรือไม่ คนเหล่านี้ไม่มีปัญญาคิดเอง ทำเอง ต้องคอยรับฟังคำสั่ง เชื่อฟังแต่ผู้นำเพียงอย่างเดียวเช่นนั้นหรือ ตรรกะเช่นนี้คงใช้ได้แต่พวกที่เลียท็อปบูทเพื่อหวังมีตำแหน่งแห่งหนและผลประโยชน์เท่านั้น

ความจริงอีกข้อของการลุกฮือจากขบวนการนักเรียน นิสิต นักศึกษา หาใช่ปัจจัยอันมาจากเหตุการณ์ยุบพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น แต่มันมีหัวเชื้อมาตั้งแต่การใช้อำนาจของเผด็จการที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แม้กระทั่งมาตรายาวิเศษเรื่อยมาจนถึงการสืบทอดอำนาจ ก็ยังไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการที่ควรจะต้องเดิน เมื่ออ้างกฎหมายเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้าม โดยใช้สถานะของบางองค์กรเป็นเกราะกำบัง ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรมันก็ไร้ความน่าเชื่อถืออยู่ดี

ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของความศรัทธา ทุกกระทำการอ้างความเป็นคนดี แต่วิธีการและผลลัพธ์ที่ออกมามันเป็นไปในทิศทางตรงข้าม คนรุ่นใหม่ที่มีหัวใจประชาธิปไตย คนรุ่นใหม่ที่อยู่ภายใต้บริบทการศึกษาที่เวลานี้ผู้สอนจำนวนไม่น้อย ยอมจะฉีกตำราเพื่ออุ้มสมเผด็จการสืบทอดอำนาจให้ชูคอ เพราะอคติของตัวเองที่เกลียดชังระบอบทักษิณ ย่อมเป็นตัวจุดประกายให้เหล่านักเรียน นิสิต นักศึกษา เกิดภาวะตื่นรู้และลุกขึ้นสู้ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำเมื่อจุดติดแล้วจะเดินไปสู่จุดจบอย่างไรก็ตาม

อย่ามองข้ามเป็นอันขาด วาทกรรมที่เริ่มเกิดขึ้นท่ามกลางแฟลชม็อบ “ไอโอชา” ก็ดี “ไม่อินเผด็จการ” ก็ดี สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกถึงอารมณ์ ความรู้สึก เพียงแต่ว่าจะประสานให้เป็นการมีส่วนร่วมอย่างมีพลังได้อย่างไร ซึ่งมาจนถึงวันนี้ทำให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่เคยคิดว่าเกิดขึ้นยากและไม่น่าจะยาวนาน ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป การเลือกใช้พื้นที่ของสถานศึกษาซึ่งถือเป็นเวทีวิชาการที่อำนาจรัฐโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงจะเข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้ ย่อมเป็นสัญญาณอันบ่งบอกถึงการขับเคลื่อนที่เริ่มเป็นขั้นเป็นตอน

หากย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 6 ปีที่ผ่านมา เราอาจได้เห็นการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ในนามบุคคล และขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อย่างคนอยากเลือกตั้ง ที่ถูกดูแคลนว่าไร้พลัง ถูกกวาดต้อน จับกุม ได้ง่ายดายภายใต้เงื่อนไข ข้อกฎหมายของเผด็จการคสช. ซึ่งนั่นอาจทำให้คนที่ยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยอาจหมดหวังและมองไม่เห็นหนทางว่ามันจะเดินไปสู่จุดที่เรียกว่าการก่อเกิดมวลชนที่เข้มแข็งได้อย่างไร แต่พลันที่เกิดการยุบพรรคอนาคตใหม่ เราก็ได้เห็นในสิ่งที่ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้

นี่แหละที่เรียกว่าการเมือง ไม่เคยมีใครที่จะอยู่ยั้งยืนยง แม้ว่าพวกติดหนวดที่ใช้คำว่าประชาธิปไตยครอบทับ พร้อมกับการสร้างเครื่องมือทุกอย่างไว้เพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้ามและปกป้องตัวเอง ในเชิงกฎหมายอาจจะไม่มีใครทำอะไรได้ ในแง่การพลิกแพลงวิธีที่จะจัดการฝ่ายเห็นต่างอาจจะมีศรีธนญชัยคอยชี้ช่อง แต่สุดท้าย เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นว่ามันหนักข้อเกินไป มันไร้ซึ่งความเป็นธรรม และก็ไร้ซึ่งฝีมือที่จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ปรากฏการณ์แฟลชม็อบของคนรุ่นใหม่จึงจะเป็นปัจจัยชี้วัดว่าพวกอยากอยู่ยาวจะอยู่ได้นานจริงไหม

Back to top button