หุ้นกับ (โควิด-19) เฟส 3
มีคำถามว่า หากประเทศไทยประกาศการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้าสู่เฟส 3
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
มีคำถามว่า หากประเทศไทยประกาศการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้าสู่เฟส 3
แล้วตลาดหุ้นไทยจะลงต่อหรือไม่
เท่าที่สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์หลายคน
ทั้งหมดจะตอบเหมือนกันหมดว่า น่าจะร่วงลงไปอีก และมีแนวรับสำคัญบริเวณ 920 จุด
ประเด็นน่าสนใจคือ ส่วนใหญ่มองกันว่าจะไม่หลุด 900 จุด (เฉลี่ย 950–970 จุด)
และมีเพียงบางคนที่บอกว่า อาจจะลงไปถึง 600-700 จุด แต่จะเป็นกรณีที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้จนทอดเวลายาวนานออกไป
ทว่า จากความเห็นทั้งหมดนั้น
ส่วนใหญ่จะบอกว่า หากประกาศเข้าสู่เฟส 3 และ “ปิดประเทศ” ขึ้นมาจริง ๆ
เช่นเดียวกับหลายประเทศที่ดำเนินการกันอยู่
มันจะทำให้เรามองเห็น “ก้นเหว” ได้
เพราะหากปล่อยไปแบบนี้ (มาตรการยังไม่เข้มข้นเพียงพอ) ทำให้คาดการณ์ความเสียหายลำบาก
ดัชนีตลาดหุ้นก็จะหมุน แกว่งกันไปแบบนี้
หรือจะเป็นลักษณะค่อย ๆ ซึมตัวลงไปเรื่อย ๆ
มีการแสดงความเห็นด้วยว่า
การปรับเกณฑ์เซอร์กิต เบรกเกอร์ (จาก 10% เหลือ 8%) และซิลลิ่ง-ฟลอร์ (จาก 30% เหลือ 15%) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันก่อนหน้านี้
อาจจะเป็นการเตรียมตัว หรือรับมือกับที่ตลาดหุ้นอาจจะร่วงลงแรงอีกครั้ง
เพราะเชื่อว่ายังมี “คลื่นระลอกใหญ่” ที่พร้อมขายหุ้นออกมาอีก
หากประเมินว่าเศรษฐกิจอาจจะเสียหายไปมากกว่าที่ได้ประเมินกันไว้
เช่น เมื่อประกาศ เข้าสู่เฟส 3 ที่อาจจะต้องมีการปิดประเทศ
แม้ว่าการปิดประเทศ ด้วยการห้ามเดินทางเข้าออกนั้น จะช่วยการประเมินความเสี่ยง หรือมองให้เห็นก้นเหวได้
แต่ของไทยก้นเหวอาจลึกกว่าหลายประเทศที่ปิดประเทศ
นั่นเพราะเศรษฐกิจไทยมีสถานะที่ค่อนข้าง “อ่อนแอ”
หรืออยู่ในฐานะ “ผู้ป่วย” อยู่
ดังนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจจึงจะมีมากกว่า (หลายประเทศ) อย่างมาก
โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่เป็นรายได้หลัก ที่เราอาจจะสูญเสียจำนวนมาก จนส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวม และการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล
ทว่า มีข้อมูลจากโบรกฯ แห่งหนึ่งมาแบบสด ๆ ร้อน ๆ
มีการเผยตัวเลข (นับจากโรคโควิด-19) พบว่า MSCI-AP ex JP ลดลงแล้ว 20% จากจุดสูงสุดเมื่อ 17 ม.ค. 63 ในรูปของ USD ถ้าเทียบกับ SARS ก็อาจมี Downside Risk ประมาณ 5% ถ้าเทียบกับสมัย Global Financial Crisis 2007-2008 ก็อาจมี Downside Risk 46%
ส่วน SET ในปีนี้ปรับตัวลดลง 34.5% และ SET50 -36% จากสิ้นปี 2019
หุ้นที่มีขนาดมาร์เก็ตแคปสูงสุด 100 อันดับแรกปรับตัวลดลง 2-70%
ส่งผลให้ P/BV บางบริษัทปรับตัวลงมาอยู่ที่จุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 0.33 เท่า
ขณะที่กลุ่มธนาคารปรับตัวลงมาอยู่ระดับต่ำกว่า 0.5 เท่า P/BV
ส่วน PTT, PTTEP ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 1 เท่า
การปรับตัวลงแรงมากส่งผลให้หุ้นหลายตัวมี DIY สูงถึง 23.20% และ 5 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ให้ผลตอบแทนบน 19DPS ที่ 4.5%-10.1% และมี P/BV เพียง 0.5 เท่า P/BV ถูกกว่าสมัยวิกฤตการเงินโลกปี 2007-2008
ดูตัวเลขแบบนี้แล้ว นั่นหมายความว่า โอกาสที่หุ้นไทยจะลงไปอีกนั้น
อาจจะมีค่อนข้างจำกัด
และสอดคล้องกับความเห็นนักวิเคราะห์คนอื่น ๆ ที่ว่า
ในระยะสั้น หุ้นอาจปรับลงได้อีก (บ้าง) หลังมาตรการเข้มข้นขึ้น
แต่หลังจากนั้น จะค่อย ๆ ทยอยปรับขึ้น
และส่วนใหญ่ต่างไม่เชื่อว่า วิกฤตโควิด-19 ในรอบนี้ จะทำให้ผลประกอบการของ บจ.ต่าง ๆ ขาดทุนแบบวินาศสันตะโร
หรืออาจจะมีขาดทุนได้บ้าง
แต่ไม่น่าจะมากนัก ไม่มีล้มละลาย (กรณีแย่สุด และต่างเชื่อว่าไม่น่าเป็นไปได้)
หลังจากนั้นกำไรพร้อมที่จะฟื้นตัวได้ (แรง)
หากแก้ปัญหาได้แบบเบ็ดเสร็จ