ดันสู้เพื่อ..?
*ถ้าประเมินสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยตามข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับไวรัสโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้นทุกวัน “โมนิก้า” ย่อมไม่เข้าใจเหตุผลที่ทำให้ดัชนีพยายามฝืนบวก ทั้งที่ตลาดหุ้นทั่วโลกแดงแป๊ด..ดด รวมทั้งผลงานของบริษัทจดทะเบียนก็ไม่ปัง จึงอยากให้นักเล่นพยายามประเมิน “ผลได้” กับ “ผลเสีย” อันไหนมีมากกว่ากัน เพื่อใช้ประกอบการเคาะขวาหุ้นไงล่ะคะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ถ้าประเมินสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยตามข้อมูลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับไวรัสโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้นทุกวัน “โมนิก้า” ย่อมไม่เข้าใจเหตุผลที่ทำให้ดัชนีพยายามฝืนบวก ทั้งที่ตลาดหุ้นทั่วโลกแดงแป๊ด..ดด รวมทั้งผลงานของบริษัทจดทะเบียนก็ไม่ปัง จึงอยากให้นักเล่นพยายามประเมิน “ผลได้” กับ “ผลเสีย” อันไหนมีมากกว่ากัน เพื่อใช้ประกอบการเคาะขวาหุ้นไงล่ะคะ
*เหมือนกับประเด็นที่ “โมนิก้า” จั่วหัวไว้ก่อนหน้านี้ว่า หลุดพันจุด ? ก็มาจากการใช้สมการเทียบเคียงแรงขายต่างชาติยังมีอีกเยอะไหม ? โดยคำตอบที่ได้คร่าว ๆ จากเที่ยวนี้คือ ต่างชาติยังมีหุ้นให้ขายอีกเป็นแสนล้านเลยทีเดียว! และเมื่อนำมาผูกโยงกับการตั้งกองทุนพยุงหุ้นแสนล้านอีกเช่นกัน เดี๊ยนถึงมองการเล่นหุ้นเที่ยวนี้จะออกไปในทาง “เจ๊า” กับ “เจ๊ง” เป็นส่วนใหญ่นะจะบอกให้
*ฉะนั้น ต้องมองกันตามจริงว่าการแกว่งตัวทั้งในแดนบวกและแดนลบ ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,044.19 จุด ลบไป 3.96 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.16 หมื่นล้านบาท มันเป็นการฝืนธรรมชาติใช่ไหมเอ่ย ? “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่น “ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ” เพื่อกรองผลลัพธ์ให้ออกมาใกล้เคียงกับแนวทางของแต่ละคน เพราะในสนามของการลงทุนมันมีทั้ง “สายบู๊” และ “สายบุ๋น” จึงไม่มีหลักการตายตัว เพราะสุดท้ายเขาก็วัดกันที่ กำไรหรือเปล่าตัวเอง!
*เช่นเดียวกับการเด้งขึ้นต่อเนื่องของเจ้าพ่อสื่อสาร ADVANC ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 190 บาท บวกไป 10 บาท หรือขึ้นไป 5.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.34 พันล้านบาท ก็มาจากตัวเลขผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นจากผลพวงไวรัส จึงกลายเป็นหุ้นที่ได้รับผลดีจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ส่งผลให้กองทุนโหมซื้อหุ้นไม่หยุดหย่อนเป็นเวลา 5 วันติดแบบนี้ มีลุ้นกลับไปยืนแถว 200 บาทนะคะ
*ส่วนในรายของ GULF เด้งกลับขึ้นมาปิดที่บริเวณ 137.50 บาท บวกไป 8 บาท หรือขึ้นไป 6.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.13 พันล้านบาท ยังต้องดูอารมณ์ของกองทุนวันนี้จะดีไหม ? หากมีอาการแฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่ เคาะขวากันมันหยดติ๋งอย่างแน่นอน..หากอารมณ์บ่จอยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คงได้เห็นการเคาะซ้ายถี่ยิบทุกชั่วโมงแน่ ๆ จึงกลายเป็นหุ้นที่น่าติดตามอย่างใกล้ชิดเจ้าค่ะ
*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้นทีเด็ดอย่าง TISCO ขึ้นมาในทันที เพราะเป็นหุ้นที่ทำผลงานโตเด่นทุกปี ราคาหุ้นถึงไต่ระดับอย่างช้า ๆ จนขึ้นไปยืนเหนือ 100 บาทอย่างสบายใจเฉิบ แต่วานนี้กลับเห็นราคาหุ้นลงมายืนอยู่ที่ 63.25 บาท ลบไป 4.75 บาท หรือลงไป 7% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 915 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 2 ปี 1 เดือน กลายเป็นจังหวะที่ทำให้คนเล่นเกิดอาการคิดมากขึ้นมาในทันที เพราะประเมินผลกระทบที่มีต่อตัวบริษัทไม่ออกเหมือนกันว่า รุนแรงระดับไหนน่ะซี!
*สำหรับรายที่โดนถล่มย่อยยับ จนยากจะฟื้นกลับมาได้อย่าง AWC ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในสายตาของ “โมนิก้า” เพราะของมันเห็นมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า โคตรแพง! และวันนี้ก็ยังแพงอยู่ดี! จึงมองราคาปิดที่ 3.12 บาท ลบไป 0.28 บาท หรือลงไป 8.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 266 ล้านบาท ท่ามกลางค่า P/E 103 เท่า ยังไม่ใช่จุดที่แมงเม่าต้องยื่นมือเข้าไปรับของร้อน เพราะมองไม่เห็นมุมที่หุ้นจะขึ้นได้ไงล่ะคะ
*คล้ายกับกรณีของหุ้น ESSO ไหลรูดลงมาเรื่อย ๆ จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ 3.36 บาท ลบไป 0.32 บาท หรือลงไป 8.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 337 ล้านบาท พร้อมกับทำ all time low หลังจากเข้าตลาดหุ้นมาเป็นเวลาเกือบ 12 ปี ล้วนเป็นผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับ 25 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ฟากต้นทุนในการผลิตอยู่ในระดับ 30 เหรียญต่อบาร์เรล (เขาประเมินกันไว้แบบนี้) มันหมายความว่ายังไม่ทำอะไรก็เจ๊งทันทีใช่ไหม ?
*เช่นเดียวกับหุ้นน้องใหม่ CRC โดนถล่มขายชนิดไม่เหลือเยื่อใยให้แก่กัน จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 23.50 บาท ลบไป 2.50 บาท หรือลงไป 9.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.12 พันล้านบาท พร้อมกับทำ all time low ล้วนเป็นผลพวงจากไวรัสที่ทำให้คนออกมาห้างน้อยลง ผนวกกับเลื่อนเวลาเปิด-ปิดห้างทั้งหมด 8 แห่ง เท่ากับยอมรับกลาย ๆ แล้วว่า ตัวเลขกำไรส่อเค้าจะต่ำเป้าค่อนข้างเยอะนะจะบอกให้