พาราสาวะถี
พุ่งพรวดพราดสำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 188 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 599 คน แน่นอนว่า ตัวเลขที่กระโดดขึ้นมาเช่นนี้ จุดหลักมาจากสนามมวยลุมพินีและสถานบันเทิงย่านทองหล่อนั่นเอง คงไม่ต้องไปกระทุ้งต่อว่าความผิดพลาดจากมาตรการที่ช้ากว่าสถานการณ์ไปหนึ่งก้าว เพราะไม่มีประโยชน์ นาทีนี้อยู่ที่ว่า มาตรการล่าสุดที่ออกมานั้น จะสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้หรือไม่
อรชุน
พุ่งพรวดพราดสำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 188 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 599 คน แน่นอนว่า ตัวเลขที่กระโดดขึ้นมาเช่นนี้ จุดหลักมาจากสนามมวยลุมพินีและสถานบันเทิงย่านทองหล่อนั่นเอง คงไม่ต้องไปกระทุ้งต่อว่าความผิดพลาดจากมาตรการที่ช้ากว่าสถานการณ์ไปหนึ่งก้าว เพราะไม่มีประโยชน์ นาทีนี้อยู่ที่ว่า มาตรการล่าสุดที่ออกมานั้น จะสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้หรือไม่
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ตัวเลขที่ฝ่ายรัฐย้ำตลอดคือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 80 อยู่ในกรุงเทพฯ และตอกย้ำอีกด้วยว่า ห้ามคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ คำถามก็คือ หมายความว่า ยังมีผู้เสี่ยงติดเชื้อจากคนแพร่เชื้อที่ทางการยังตามตัวไม่ได้ ตรวจไม่พบอีกจำนวนมาก นั่นเท่ากับว่า มาตรการรับมือที่ผ่านมาล้มเหลวใช่หรือไม่ เช่นนั้น ก็เป็นการยอมรับกันไปในตัวว่า การไม่ประกาศให้ปิดสนามมวย สถานบันเทิง คือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของรัฐบาลนี้และผู้ที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น จึงเข้าใจได้แล้วว่า ความหมายของการแพร่ระบาดในระยะที่ 3 ที่ วิษณุ เครืองาม บอกว่า “อยู่ที่ใจ” นั้นมันคืออะไร ความจริงแล้วสถานการณ์ที่เป็นอยู่เวลานี้มันอาจจะมากกว่าระยะที่ 3 ไปเสียด้วยซ้ำกระมัง เนื่องจากต้องรอดูกันว่า ผู้ป่วยรายไหนจะปรากฏอาการ แล้วเข้าไปรับการรักษา เพราะการจะไปตรวจหาว่าตัวเองติดเชื้อหรือไม่ ฝ่ายรัฐก็ประสานเสียงกันว่าถ้าไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็ไม่ต้องไปตรวจเพราะแพงและเสียเวลาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์
แต่คำถามที่สำคัญคือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พบเพิ่มขึ้นนั้น มีรายใหม่เกิดขึ้นจำนวนไม่น้อย โดยภาษาที่ใช้ในการแถลงข่าวของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ระบุว่า ผู้ที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่แออัดที่จะต้องใกล้ชิดกับคนจำนวนมากหรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ ซึ่งมันเป็นนิยามที่กว้างขวางมาก คำว่าแออัด ใกล้ชิดคนจำนวนมาก มันก็หมายรวมถึงคนที่เดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดด้วยใช่หรือไม่ นี่ไงที่บอกว่า โอกาสตัวเลขของผู้ป่วยที่จะพบเป็นวงกว้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีสูงเป็นอย่างยิ่ง
ถึงเวลาที่จะต้องพูดความจริงกันแล้วหรือไม่ มาตรการที่รณรงค์กันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันแค่ประทังสถานการณ์เท่านั้น แต่ไม่ได้ลดโอกาสของการติดเชื้อของคนส่วนใหญ่ ยิ่งระยะหลังมาเน้นเรื่องของการเว้นระยะห่างทางสังคมหรือ Social Distancing มันยิ่งมองเห็นความเป็นไปได้ยาก เอาเฉพาะคนที่ต้องเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ รถเมล์จะจำกัดการรับคนเพื่อเว้นระยะห่าง หรือรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดินจะขีดเส้นให้คนยืนห่างกัน 2 เมตร ตามมาตรการดังกล่าวได้หรือไม่
ในทางปฏิบัติก็เป็นไปได้ยากแล้ว ส่วนที่บอกว่ามาตรการล่าสุดคือการปิดห้างแบบมีข้อยกเว้นนั้น ก็จะช่วยลดการพบปะกันของคนจำนวนมาก นั่นก็เป็นแค่คนส่วนหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่ที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน ต้องทำงานกันทุกวัน 5 วันบ้าง 6 วันบ้าง ไม่สามารถทำงานในรูปแบบเวิร์ค ฟอร์ม โฮม ได้ ก็ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงกันต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่รัฐบาลจะต้องคิดให้รอบคอบและคลอดมาตรการดูแลให้ครอบคลุม ทั่วถึง จึงจะสามารถหยุดการเคลื่อนย้ายของคนได้
ยิ่งได้ฟังคำร้องขอของ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีสาธารณสุข ผู้ร่ำไห้ในการแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ในทำนองว่าทำไมรัฐถึงออกมาตรการแบบนี้มา ก็เพื่อต้องการให้ทุกคนอยู่นิ่ง โรคนี้ใช้ระยะฟักตัว 14 วัน ถ้าผู้คนอยู่นิ่งได้ถึง 14 วันก็เท่ากับโรคนี้จะไม่มีการกระจาย คำถามคือ คนทุกคนไม่อยากออกจากบ้านเพราะรู้และเข้าใจในสถานการณ์ แต่ทุกคนไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเหมือนอย่างรัฐมนตรีและผู้มีฐานะทั้งหลาย แล้วมันจะอยู่นิ่งกันได้อย่างนั้นหรือ
คำตอบก็คือ ภาครัฐต้องมีมาตรการมาดูแล มนุษย์ที่กำลังจะไม่มีกินจะนอนรออดตายอยู่ได้อย่างไร อย่างที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงว่า รัฐบาลต้องคิดเร็วทำทันที จริง ๆ คือต้องคิดให้ครบแล้วประกาศพร้อมกัน ปล่อยแบบนี้มีแต่จะโกลาหล ที่สำคัญคือต้องไม่พูดกลับไปกลับมาอีก อย่าเติมอารมณ์คนให้ไปไกลกว่านี้ มาตรการภาษี บรรเทาภาระหนี้ เยียวยาผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ต้องออกมาพร้อมกัน ไม่กะปริดกะปรอย เงินใช้จ่ายฉุกเฉินช่วยคนหาเช้ากินค่ำควรทำอย่างด่วนที่สุด
ไม่ใช่การโปรยเงินแจกประชาชน แต่เป็นการบริหารจัดการในสถานการณ์วิกฤต ไม่ต้องกังวลข้อจำกัดเรื่องกฎหมาย รัฐบาลนี้จัดจ้านเรื่องยกเว้นอยู่แล้ว คิดให้ครบว่าเป็นประโยชน์ รักษาคนป่วย ป้องกันคนเสี่ยง ยุติการแพร่ระบาด ดูแลคนไม่ป่วยให้รอดไปด้วยกัน ภายใต้เป้าหมายนี้ทุกอย่างต้องทำได้ ไม่มีใครคิดหาเรื่องรัฐบาล ทุกคนเอาใจช่วย
การเยียวยาประชาชนที่ขาดรายได้ หลายประเทศมีการชดเชยเพื่อให้ประชาชนเลือกจะอยู่บ้านมากกว่าออกไปทำงานหาค่าแรงแบบตายเอาดาบหน้า อย่าลืมว่า คนจนรายได้ไม่เข้ารายจ่ายขยับทุกวัน ดังนั้น มาตรการของรัฐบาลหากจะมีออกมาเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต้องไม่ใช่แค่แจกเงินคนละพันสองพันแล้วก็จบกัน มันต้องดูแลกันให้มากกว่านั้น ประเภทที่ว่าให้แรงงานที่มีประกันสังคมไปขอรับเงินชดเชยการว่างงานนั่นเป็นการพูดไม่คิด
เพราะเงินที่ว่า กว่าจะผ่านขั้นตอนแล้วได้รับเงินมันต้องใช้เวลา มนุษย์เงินเดือน คนหาเช้ากินค่ำจะรอได้อย่างนั้นหรือ เช่นเดียวกัน ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมการช่วยเหลือจะต้องครอบคลุมไปถึงด้วย อย่าลืมเป็นอันขาดว่านี่ไม่ใช่ความผิดของผู้ได้รับผลกระทบ คนเหล่านั้นคือผู้ที่ถูกบังคับให้เสียสละเพื่อรองรับกับมาตรการของรัฐบาล ซึ่งล่าช้ากว่าสถานการณ์ที่ควรจะเป็น
ปัญหาสำคัญของรัฐบาลอีกเรื่องคือการสื่อสาร ทุกอย่างต้องให้ชัดเจนและเป็นเนื้อเดียวกัน ข่าวที่ผู้ว่าฯกทม.ออกประกาศสั่งปิดห้างเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาทำเอาวุ่นกันไปทั้งเมือง เนื่องจากอีกด้านโฆษกรัฐบาลบอกว่าให้รอฟังไปก่อน ทำให้สับสนกันยกใหญ่ กระนั้นก็ตาม แม้กระทั่งคำสั่งของผู้ว่าฯกทม.เอง ยังต้องมีคำสั่งมาเพิ่มเติมเพื่ออธิบายให้คนเข้าใจให้ชัดเจน ตอกย้ำปัญหาเรื่องนี้คงเป็นข้อความของผู้ว่าฯกทม.ที่ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว การสื่อสารในช่วงเวลาวิกฤตเป็นสิ่งที่สำคัญ ขอให้ทุกคนฟังข้อมูลข่าวสารจากกทม.เท่านั้น