เจ๊งแล้ว..ต้องจบ

*วันนี้หากถามความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในวงการหุ้น และนอกวงการหุ้น ทุกคนต่างลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า “เจ๊งยับ” เพียงแต่ความชิบ..ที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้ต้องจบในเวลาที่รวดเร็ว เพื่อจะได้เซ็ตเกมธุรกิจกันใหม่อีกรอบ ซึ่งเป็นมุมมองที่สะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งของผู้ประกอบการต่าง ๆ เดี๊ยนจึงขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน เพื่อฝ่าฟันวิกฤติไวรัสมรณะไปด้วยกันพะยะค่ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*วันนี้หากถามความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในวงการหุ้น และนอกวงการหุ้น ทุกคนต่างลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า “เจ๊งยับ” เพียงแต่ความชิบ..ที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้ต้องจบในเวลาที่รวดเร็ว เพื่อจะได้เซ็ตเกมธุรกิจกันใหม่อีกรอบ ซึ่งเป็นมุมมองที่สะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งของผู้ประกอบการต่าง ๆ เดี๊ยนจึงขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน เพื่อฝ่าฟันวิกฤติไวรัสมรณะไปด้วยกันพะยะค่ะ

*เนื่องจากไม่มีประโยชน์ที่บรรดาขาเผือกจะตั้งป้อมด่าไม่เลิก เพราะสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักมากสุดในเที่ยวนี้ อย่าทำตัวเป็นพวก “มือไม่พาย เอาตีนราน้ำ” ซึ่งมันรังแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม เหมือนท่าทีของ “น้องทอนส้มหวาน” และพวกลิ่วล้อคนสำคัญ ดันออกมาเม้าท์มอยเรื่องโควิด-19 นิดหน่อย ต่อจากนั้นทะลึ่งลากยาวเรื่องการเมือง และแก้รัฐธรรมนูญในภาวะแบบนี้..มันแสดงให้เห็นธาตุแท้คณะส้มหวาน ก็บัดซบพอกับนักการเมืองไดโนเสาร์ ที่วัน ๆ รักตัวเองมากกว่ารักส่วนรวม..คุณ ๆ ท่าน ๆ คิดว่า จริงไหมคะ

*เรื่องดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึงการแถลงข่าวของ ธปท. ส.ธนาคาร และ ก.ล.ต. เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ดันไม่มีหน่วยงานอย่าง ตลท. มาร่วมนั่งโต๊ะแถลงข่าวด้วย ผู้คนถึงแปลกใจระบบแนวคิดทำอะไรไม่เคยเบ็ดเสร็จสักที และทำให้ภาพที่ออกมาสู่สังคมกลายเป็นต่างคนต่างทำ ปัญหาก็เลยถาโถมเข้าใส่ไม่หยุดหย่อนแบบนี้ มันเป็นการทำงานที่ขาดการบูรณาการมากกว่านะจ๊ะ

*เหมือนกับคำปลอบประโลมอย่าตระหนกเกินเหตุ แต่สิ่งที่ปรากฏในตลาดหุ้นไทยกลายเป็นกองทุนตัวแสบยังทำตัว ซื้อ ๆ ขาย ๆ ไม่กล้าทุ่มทุนซื้อหุ้นแบบสุดซอยนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของความจำเป็นของแต่ละคน และไม่เคยคิดโทษให้เป็นความผิด เพราะอยากจะสื่อให้ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้..มันมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะยังขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ จนมีข้อเรียกร้องเป็นจำนวนมากในทำนอง “เจ๊งแล้ว ต้องจบ” นะคะ

*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” มองการทรุดฮวบของดัชนีในระหว่างวัน และมีการงัดมาตรการ “เซอร์กิตเบรกเกอร์” ออกมาใช้เป็นครั้งที่ 3 ของเดือน จนสุดท้ายดัชนียืนปิดที่ระดับ 1,024.46 จุด ลบไป 102.78 จุด หรือลงไป 9.12% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.96 หมื่นล้านบาท ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากความวุ่นวายในประเทศและต่างประเทศ ยังคงปะทุให้เห็นตลอดเวลา จึงทำให้นักเล่นขายหุ้นออกไปก่อน หลังจากนั้นค่อยย้อนกลับเข้ามาซื้อใหม่ก็เท่านั้นเองค่ะ

*โดนถล่มหนักสุดและน่าจะโดนถล่มต่อไป “โมนิก้า” คงหันไปมองที่หุ้น CRC ก่อนใครเพื่อน เพราะได้รับผลกระทบจากการปิดห้างร่วมเดือน ผนวกกับกำลังซื้อลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา เดี๊ยนถึงมองการลงมาทำ all time low ด้วยการยืนปิดที่ระดับ 21 บาท ลบไป 3.70 บาท หรือรูดติดฟลอร์ ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 760 ล้านบาท คงไม่ใช่จุดต่ำสุดของการขายเที่ยวนี้แน่ ๆ เจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ HMPRO ถูกสาดทิ้งอย่างกับงานเทกระจาดประจำปีนั้น “โมนิก้า” ถือเป็นไฟต์บังคับที่กองทุนต้องขายหุ้นทิ้งเพื่อลดความเสี่ยง จึงอยากให้นักเล่นเรียนรู้ผลกระทบที่กินเวลาเนิ่นนาน ย่อมเป็นแรงกดดันที่ทำให้สถานการณ์ของหุ้นย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ เดี๊ยนถึงมองราคาปิดที่ 9.70 บาท ลบไป 1.70 บาท หรือรูดติดฟลอร์ ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 723 ล้านบาท ยังไม่ใช่จุดของการรับของนะตัวเอง

*ขนาดหุ้นฮอตฮิตอย่างน้องแบม BAM ยังกลายสภาพเป็นนกปีกหักอย่างง่ายดาย เดี๊ยนถึงไม่เชื่อว่าหุ้นตัวนี้จะกลับขึ้นไปติดลมบน เพราะมองจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ และปัญหาหนี้สินครัวเรือนจำนวนมหาศาล “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อกำไรบรรทัดสุดท้ายอย่างแน่นอน จึงรู้สึกเฉย ๆ เมื่อเห็นราคาหุ้นลงมานอนกองอยู่ที่ระดับ 17.10 บาท ลบไป 3 บาท หรือรูดติดฟลอร์ ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.09 พันล้านบาทพะยะค่ะ

*เมื่อเห็นผลกระทบในวงกว้างชัดเจนขึ้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่เห็นหุ้นรถไฟใต้ดิน BEM เอาแต่มุดหัวลงดินตลอดเวลา เพราะไวรัสที่แพร่ระบาดทำให้คนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะน้อยลงอย่างแน่นอน วานนี้ถึงเห็นหุ้นทิ้งดิ่งลงมาปิดที่ 6.75 บาท ลบไป 0.85 บาท หรือลงไป 11.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 955 ล้านบาทตั้งแต่เปิดตลาดฯ และวันนี้ก็มีสิทธิ์ลงต่ออย่างเลี่ยงไม่ได้นะคะ

Back to top button