พาราสาวะถีอรชุน

๑๑ช่วยไม่ได้หากคนจะจับไปเชื่อมโยงกันต่อกรณี ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ได้กลับไปนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามเดิม จากคำสั่งของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าน่าจะเป็นผลพวงมาจากการตั้งโต๊ะแถลงข่าวของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะคนส่วนใหญ่ยังจับภาพกันได้ว่าปลัดกระทรวงคุณหมอนั้นคือแนวร่วมสำคัญของม็อบกปปส.และได้รับมอบนกหวีดทองคำจากลุงกำนัน


๑๑ช่วยไม่ได้หากคนจะจับไปเชื่อมโยงกันต่อกรณี ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ได้กลับไปนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามเดิม จากคำสั่งของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าน่าจะเป็นผลพวงมาจากการตั้งโต๊ะแถลงข่าวของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะคนส่วนใหญ่ยังจับภาพกันได้ว่าปลัดกระทรวงคุณหมอนั้นคือแนวร่วมสำคัญของม็อบกปปส.และได้รับมอบนกหวีดทองคำจากลุงกำนัน
๑๑แต่หากจะมองอีกมุม ถ้าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันใดๆ การขยับในหนนี้ของบิ๊กตู่เหมือนจะเป็นการส่งสัญญาณไปถึงการปรับครม.ที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้หรือไม่ ว่าไม่ได้มีเฉพาะเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจเท่านั้น เนื่องจากการส่งณรงค์กลับไปเป็นปลัดย่อมสร้างความอึดอัดให้กับ นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน เจ้ากระทรวงสาธารณสุขไม่ใช่น้อย
๑๑อย่างที่รู้กันคณะทำงานที่นายกฯนั่งตั้งขึ้นมาตรวจสอบกรณีดังกล่าว สรุปชัดเจนว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งทำงานร่วมกันไม่ได้ระหว่างรัฐมนตรีกับปลัด นั่นเท่ากับว่า การส่งตัวปลัดกลับไปนั่งตำแหน่งเดิมก็เหมือนเป็นการเพิ่มปัญหาและสร้างความไม่สบายใจให้กับรัฐมนตรี ถ้าจะมองแบบหาเรื่องก็คือเหมือนเป็นการบีบให้ฝ่ายเสนาบดีต้องพิจารณาตัวเองหรือเปล่า
๑๑อย่างไรก็ตาม ถ้ามองโลกในแง่ดีบางทีอาจเป็นแค่การคืนตำแหน่งให้ไปทำหน้าที่ก่อนที่จะเกษียณในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน หมายความว่า รัฐมนตรีก็จะทนอึดอัดอีกไม่นานแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเข้ารูปเข้ารอย จะว่าไปแล้วเรื่องนี้คนวงนอกอาจจะเข้าใจได้ยาก เพราะเป็นปัญหาของกลุ่มคนดีที่เขาไม่ลงรอยกัน เมื่อคนดีชนคนดี คนดีที่มีอำนาจเลยลำบากใจเป็นเรื่องธรรมดา
๑๑จะว่าไปแล้วก็น่าเห็นใจผู้ยิ่งใหญ่อยู่เหมือนกัน เมื่อหันซ้ายแลขวาจะพบแต่ผู้อ้างว่ามีพระคุณโดยเฉพาะม็อบผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งประกาศสนับสนุนรัฐบาลคสช. มองอีกทางก็คือการทวงบุญคุณในฐานะผู้ก่อม็อบปูทางให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติออกมายึดอำนาจด้วยความชอบธรรมนั่นเอง เพียงแต่ว่า ถ้าย้อนกลับไปดูความนิยมหลังยึดอำนาจหมาดๆกับสถานการณ์ในวันนี้ คะแนนชื่นชอบคณะรัฐประหารจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
๑๑นั่นก็ทำให้ต้องย้อนกลับไปมองถึงคำพูดของ วันชัย สอนศิริ ที่ยกมือเชียร์รัฐบาลคสช.แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ในวันที่ออกมาเรียกร้องให้บิ๊กตู่ปรับทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลออกให้หมด ปืนอำนาจจะมีพลังขนาดไหน ถ้าประชาชนหมดความศรัทธาเสียแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงควรเปลี่ยนแปลงเรื่องคนทำงานเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เพิกเฉยต่อการเรียกร้องของประชาชน
๑๑โดยที่วันชัยออกตัวว่า ไม่ได้หมายความว่ารัฐมนตรีเหล่านั้นทำผิด แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยศรัทธาประชาชนจะลดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดปัญหาทุกส่วน โรดแมปก็จะเดินไปไม่ถึง เพราะศรัทธาประชาชนไม่เอาด้วย ซึ่งสอดรับกับความเห็นของ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งก่อนหน้านี้ โดยแสดงความกังวลต่อท่าทีของผู้นำรัฐประหารที่นับวันจะขยับเข้าใกล้ผู้นำเผด็จการในยุคพฤษภาทมิฬไปทุกขณะ
๑๑ไกรศักดิ์มองว่า บุคลิก คำพูด ความคิดของ พลเอกสุจินดา คราประยูร กับพลเอกประยุทธ์เหมือนกันมากคือ ดูถูกประชาชน ด่านักการเมืองและสื่อมวลชน แต่ที่ยังต่างกันคือ ชนชั้นกลางปัจจุบันยังสนับสนุนหัวหน้าคสช.อยู่ แล้วบอกว่าให้รอไปก่อน อย่าเพิ่งเลือกตั้ง ต้องให้เวลา ตนจะบอกให้ว่าตอนนี้ประชาชนเขาให้เวลาแล้ว แต่ถ้าให้ไปแล้วรัฐบาลกลับไม่มีท่าทีที่จะฟัง ประชาชนก็จะยิ่งอึดอัด เพราะยิ่งให้เวลาก็จะยิ่งไม่ฟังเข้าไปใหญ่
๑๑นอกจากนั้น ยังมีปมว่าด้วยกลุ่มทุนที่ผูกขาดกับทหารไม่กี่กลุ่ม ทุกครั้งที่เกิดการรัฐประหารก็จะเข้ามา เพราะปกติกองทัพจะแคบมาก กลุ่มอำนาจเหล่านี้มักซ้อนกันอยู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจในกองทัพ แม้แต่ทีมเศรษฐกิจก็คิดอย่างเดียวว่า จะทำอย่างไรให้มีการลงทุน ปั๊มเงินเข้าในระบบเศรษฐกิจให้โตขึ้นมา แต่รากหญ้าข้างล่างกลับไม่ได้คำนึงถึง รัฐบาลไม่มีนโยบายทางสังคมทำให้ขัดแย้งกับประชาชนมาก
๑๑นั่นเท่ากับว่า ตอนนี้การรัฐประหารดูเหมือนว่าจะเป็นการรัฐประหารเพื่อตัวเองมากเกินไป ทหารต้องการที่จะมีผลงานทางเศรษฐกิจ แต่หารู้ไม่ว่าผลงานของที่มาจากการลงทุน อาจจะเป็นการลงทุนที่สร้างปัญหาอย่างมหาศาลให้กับประเทศชาติก็ได้ การทำรัฐประหารตอนนี้ถลำลึกเกินไป และยิ่งถลำลึกมากขึ้นยิ่งต้องหาทางอยู่ต่อไปอีก
๑๑เรื่องที่อันตรายมากขณะนี้คือ ความชอบธรรมของการทำรัฐประหารของคสช.เริ่มลดลง เพราะปัญหาของชาวบ้าน คนระดับล่างที่ออกมาเรียกร้องปัญหาจากการดำรงชีวิต ที่ดินทำกิน ชาวนาชาวไร่ไม่สามารถเข้าถึงบุคคลที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ แม้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯเป็นตัวแทนไปคุยกลับเป็นการคุยกันคนละภาษา ทหารเหมือนไม่เข้าใจ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งสิ้น
๑๑พอสถานการณ์เป็นไปในลักษณะนี้ จึงทำให้ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่บิ๊กตู่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไม่ใช่อัศวินม้าขาว แต่เป็นม้าขาเป๋ เพราะมีปัญหาประเดประดังเข้ามา วิ่งขาจะเปื่อยอยู่แล้ว ทุกคนต้องช่วยสร้างความเข้าใจ อย่าคิดว่าใช้มาตรา 44 ได้หมดทุกเรื่อง จึงน่าจะไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้ว
๑๑น่าจะเป็นเหมือนที่ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เขียนบทความเตือนรัฐบาลเรื่องการปรับเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจก่อนหน้านี้ว่า การตัดพ้อต่อว่าของนายกฯและหัวหน้าคสช.เรื่องม้าขาเป๋ ไม่น่าจะตรงประเด็น แต่น่าจะเป็นเรื่องของจอกกี้ที่ขี่ม้าไม่เป็นมากกว่า เพราะมองว่าผู้ที่มีอำนาจจากการรัฐประหารไม่ได้เป็นอัศวินม้าขาว แต่เป็นอัศวินกระป๋องที่ทำอะไรไม่ได้ ประเทศไทยจึงอยู่ในภาวะเช่นนี้
๑๑เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจคงต้องตระหนัก เพราะไม่เพียงแค่ปมเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนเท่านั้น การประกาศที่ว่าจะเข้ามาเพื่อจัดการความไม่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม มีคำถามว่าวันนี้คุณทำได้หรือยัง ยิ่งมีบางกลุ่มออกมาแสดงตัวเป็นผู้ได้รับอภิสิทธิ์จนทำให้เกิดการเปรียบเทียบ หากมีบางกลุ่มมาทำเลียนแบบแล้วได้รับการปฏิเสธจากผู้มีอำนาจ นั่นจะเป็นการตอกย้ำถึงความล้มเหลวในเรื่องความเป็นธรรมและเป็นกลางทันที
/////

Back to top button