(หาก)เจ็บแล้วไม่จบ! หุ้นลงอีกแน่ ๆ
มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับมาตรการคุมโควิด-19 ของประเทศไทย
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับมาตรการคุมโควิด-19 ของประเทศไทย
โดยเฉพาะในพื้นที่ของกรุงเทพฯ
ที่ล่าสุดได้ขยายเวลา “กึ่ง” ชัตดาวน์เมือง หรือควบคุมแบบลักปิดลักเปิดออกไปเป็น 30 เม.ย.นั่นแหละ
คำถามที่ทุกคนสนใจคือ ในช่วงเวลาของการชัตดาวน์นั้น จะควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้แบบเบ็ดเสร็จหรือไม่
เพราะหากนับจากวันเริ่มใช้มาตรการดังกล่าว
และรวมถึงการนำพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาบังคับใช้
ทว่าตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในประเทศไทย ยังพุ่งทุกวัน
เส้นกราฟยังคงทะยานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ในมุมของนักลงทุน นักธุรกิจต่างจับตามอง และประเมินแบบหวั่น ๆ กันว่า การกึ่งปิดเมืองรอบนี้จะเป็นการ “ปิดฟรี” หรือไม่
นั่นคือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากชัตดาวน์ไม่ได้เป็นผลตามที่ต้องการนั่นเอง
สมมุติว่าหากเป็นเช่นนั้น ๆ จริง แล้วตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
มีมุมองจาก “จักรกริช เจริญเมธาชัย” นักวิเคราะห์หุ้น
เขาบอกว่า ผลลัพธ์ของการควบคุมโรคเหมือนไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร
เพราะเห็นได้จากการแพร่ระบาดที่กระจายตัวไปทั้งประเทศ
และจำนวนผู้ป่วยที่ “All Time High” ต่อเนื่อง
แน่นอนว่าจะส่งผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจอย่างมากในระยะถัดไป
หลัง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อเวลาไปอีก 18 วันคือวันที่ 30 เม.ย. ถ้าจบจริง ๆ เรายังพอรับไหว
แต่ถ้าไม่จบจนต้องขยายเวลาไปตลอดทั้งไตรมาส 2/63
หากเลยมาถึงตรงจุดนี้ “งานงอกมาก” (บอกเลย)
เพราะการจ้างงานจะเละไปหมด
การบริโภคจะพัง การผลิตจะถดถอย และลามเข้าภาคการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการชำระหนี้ ของเอกชนทุกระดับ
ทว่า ล่าสุด แบงก์ชาติ และสมาคมธนาคารไทย ก็เริ่มออกมาตรการมาช่วยลูกหนี้กันบ้างแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยง หรือชะลอการเพิ่มขึ้นของ NPLs ซึ่งนับว่า Take Action ได้ทันท่วงที แม้โปรโมชั่นแต่ละธนาคารอาจยังไม่แรงโดนใจลูกหนี้มากนัก
มีการตั้งข้อสมมุติฐานไว้ด้วย
หากไตรมาส 2 นี้ ทุกอุตสาหกรรมพลิกมาขาดทุน (ยกเว้นพวกไฟฟ้า, Renewable Energy, Convenience Store, Food and Beverage, Telco) จะพบว่า I/B/E/S Consensus ทยอยปรับลดกำไรทั้งปีของ SET ลดลง 15, 30 และ 50% (Best-Base-Worst Case) (30-60-90 Days) หรือ 20EPS จะถูกปรับลดลงเหลือ 72.2, 63 และ 45 บาท/หุ้น
ซึ่ง SET ที่เหมาะสม ก็ต้องไปดูว่า คำว่า “เหมาะสม” คือกี่เท่า 8 หรือ 10 หรือ 12 เท่า
หากคิดที่ 72.2 บาท/หุ้น
เป้าหมาย SET ก็ควรอยู่ที่ 578, 722 และ 866 จุด
นั้นก็ว่ากันไปตามสถานการณ์จำนวนผู้ป่วยที่จะชะลอการหยุดพุ่งเมื่อใด มาตรการก็จะผ่อนคลายมากขึ้นโอกาสพลิกฟื้นก็จะมีมากเท่านั้น
มีคำถามว่า แล้วเหมาะกับการ “ช้อป” ของถูกหรือยัง?
ครั้งก่อนหน้านี้อาจคิดว่า “เหมาะ” นั่นเพราะคาดว่า “เจ็บแต่จบ ไม่ยืดเยื้อ”
แต่ตอนนี้แนะนำ “Take Profit” ไปก่อนเหอะ รอของถูกรอบใหม่!!
หลังจากดัชนีรีบาวด์ 13.4% จาก 969 จุด และหุ้นที่แนะนำไปให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 30% ในระยะเวลาอันสั้น เทียบกับ DJIA ที่รีบาวด์ 24% หรือ Nikkei +19.6%, TW +17%
จะเห็นว่าดัชนีหุ้นไทยรีบาวด์ค่อนข้างช้ากว่าเพื่อนบ้านที่มีแนวโน้มตัวเลขผู้ป่วยคงที่
ขณะที่ผู้ป่วยไทยยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นการปิดเมืองที่เพิ่มขึ้น และความสูญเสียทางเศรษฐกิจย่อมตามมาอีกมากมาย
หลังจาก Take Profit แล้วควรทำอย่างไร?
ถือเงินสด รอจังหวะ การปรับตัวลงแรงอีกรอบกันดีล่ะ
รอบนี้รอชม 969 จุด หรือ “นิวโลว์” (New Low) หลัง Earnings Cuts รอบใหญ่ ๆ อีกรอบ
จึงค่อยพิจารณาว่า “ราคารับข่าวร้ายที่สุดไปพอสมควรหรือยัง”
และจึงค่อยเลือกลงทุนรายตัวอีกครั้งนั่นแหละ