กระตุ้นศก.1.7ล้านล.
เมื่อวันศุกร์ที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
เมื่อวันศุกร์ที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา
มีการประชุมคณะรัฐมนตรี นัดพิเศษ
พร้อมกับเห็นชอบมาตรการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจระยะ 3 ชุดใหญ่ ครอบคลุมทุกมิติในระยะ 6 เดือน
แบ่งมาตรการเป็น 3 กลุ่ม
และคาดว่าจะใช้เม็ดเงินประมาณ 10% ของจีดีพี หรือ 1.7 ล้านล้านบาท และจะเสนอเข้าครม.ได้ภายในวันนี้ (7 เม.ย.)
เห็นว่า แหล่งเงินที่มาใช้บางส่วนมาจาก “งบประมาณ” บางส่วนมาจากการกู้ยืม (ในประเทศ)
มาตรการที่ออกมารอบนี้รัฐบาลบอกว่า “มีความครอบคลุมในทุกมิติ”
มาตรการที่ออกมา ที่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนนี้ มีทั้งการดูแลเยียวยาประชาชน, การดูแลเศรษฐกิจในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าไม่ให้หยุดนิ่ง และการรักษาระบบเศรษฐกิจเพื่อให้กลไกทุกอย่างสามารถเดินหน้าไปได้
วงเงินที่ใช้ถือว่าใกล้เคียงกับรัฐบาลของประเทศอื่น ๆ ที่ได้ดำเนินการ หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของ GDP
หลายคนเห็นตัวเลขนี้แล้ว อาจจะมองสูงมาก
แต่อย่างที่บอกไปว่า หากเทียบกับประเทศอื่น ๆ แล้ว
มาตรการที่ออกมาแทบไม่ได้แตกต่างกัน และวงเงินที่เมื่อเทียบกับจีดีพี (ของประเทศตัวเอง) นับว่าใกล้เคียงกัน
ล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทย นำข้อมูลกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมาเล่าสู่กันฟัง
มาตรการต่าง ๆ พอสรุปได้ เช่น มาตรการการคลัง (ของแต่ละประเทศ) เน้นไปที่การช่วย “ลดภาระรายจ่ายของครัวเรือน และธุรกิจ” รวมถึงการประคองให้ครัวเรือนและธุรกิจยังคงมีรายได้เข้ามา
มาตรการทางการเงินเน้นไปที่การเสริมสภาพคล่อง เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
และการผ่อนปรนภาระหนี้สิน
ในหลาย ๆ ประเทศจะให้ความสำคัญกับ “มาตรการทางการคลัง” เพราะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้กว้างกว่า
และดำเนินการได้เร็วกว่ามาตรการทางการเงิน
มาตรการเงินอุดหนุนค่าจ้าง หรือ Job retention scheme
มาตรการนี้มีความน่าสนใจ เพราะรัฐบาลจะให้เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายสำหรับค่าจ้างกับสถานประกอบการ
เป้าหมายเพื่อ “ไม่ให้ต้องปลดคนงาน”
แน่นอนว่า จะช่วยลดผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ครัวเรือนได้ตรงจุด
ประเทศที่ใช้มาตรการนี้ เช่น อังกฤษ และเดนมาร์ก ให้เงินอุดหนุน 75-80% ของรายจ่ายค่าจ้างทั้งหมด
นอกจากนี้ สิงคโปร์ก็ใช้มาตรการนี้เช่นกัน ให้เงินอุดหนุน 25% ของรายจ่ายค่าจ้างทั้งหมด เป็นระยะเวลา 9 เดือน
มาถึง “มาตรการให้เงินเปล่า” หรือ Cash handout
นี่ก็เป็นมาตรการที่มีการถกเถียงเป็นอย่างมาก เพราะต้องใช้เงินมหาศาล
และกลุ่มเป้าหมายบางรายอาจจะยังมีความจำเป็นน้อยที่จะต้องได้รับเงิน
ทว่า มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่แทบทุกประเทศหยิบยกมาใช้ในระดับที่แตกต่างกันออกไป เช่น ในสหรัฐฯ ให้พลเมืองชาวอเมริกันที่มีรายได้ในปี 2562 ต่ำกว่า 75,000 เหรียญ คนละ 1,200 เหรียญ
ส่วนครอบครัวที่มีบุตร จะเพิ่มเงินให้ครอบครัวละ 500 เหรียญ ต่อบุตร 1 คน
ในสิงคโปร์ ให้พลเมืองชาวสิงคโปร์คนละ 300-900 ดอลลาร์สิงคโปร์ (209-627 ดอลลาร์สหรัฐ)
อีกทั้งยังให้แรงงานรายได้น้อยอีกคนละ 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (2,000 ดอลลาร์สหรัฐ) รวมถึงให้แรงงานอาชีพอิสระอีกคนละ 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (696 ดอลลาร์สหรัฐ) เป็นเวลา 9 เดือน
เกาหลีใต้ เป็นการให้เงินครอบครัวละ 1 ล้านวอน (820 ดอลลาร์สหรัฐ)
ประชาชนจะได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าวทุกครอบครัว
ยกเว้นกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด 30% ของประเทศ
สำหรับประเทศไทย สนับสนุนเงินคนละ 5,000 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับแรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม
มาตรการเสริมสภาพคล่อง มักนิยมนำออกมาใช้ในช่วง “วิกฤติเศรษฐกิจ”
วิธีการคือ อัดฉีดสภาพคล่องสู่ตลาดเงินผ่านทางการเข้าซื้อพันธบัตร และสินทรัพย์ต่าง ๆ
และรวมถึงการทำธุรกรรมซื้อคืน หรือ Repurchase agreement : Repo ของธนาคารกลาง ถือเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ ช่วยป้องกันปัญหาการขาดสภาพคล่อง
เกือบทุกประเทศมีการดำเนินมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปล่อยสินเชื่อระยะสั้นให้ธนาคารพาณิชย์ผ่านทางการทำ Reverse Repo Operations เป็นมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านเหรียญ
เฟดยังได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรเอกชน รวมถึง Mortgage-backed securities กว่า 1.3 ล้านล้านเหรียญ
ธนาคารกลางอังกฤษ ปล่อยสินเชื่อ ให้ธนาคารพาณิชย์มูลค่า 3 แสนล้านปอนด์
และเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรเอกชนอีก 2 แสนล้านปอนด์
สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการเสริมสภาพคล่องวงเงิน 1 ล้านล้านบาท
ด้วยการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์เข้าซื้อหน่วยลงทุนจากกองทุนรวมตลาดเงิน และกองทุนรวมตราสารหนี้ที่เป็นกองทุนเปิด ที่ถือสินทรัพย์คุณภาพดี โดยที่ธนาคารพาณิชย์สามารถนำหน่วยลงทุนเหล่านี้มาเป็นหลักประกันเพื่อขอสภาพคล่องกับธปท.
และจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบโควิด-19 นี้
ถือว่าเป็นวงเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์