พาราสาวะถี
เป็นอันว่าการเพิ่มระยะเวลาประกาศเคอร์ฟิวจาก 4 ทุ่มถึงตีสี่ ที่คนจำนวนไม่น้อยลุ้นกันตลอดสัปดาห์นี้ ไม่มีเกิดขึ้นแน่นอน เป็นคำยืนยันของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านการตอบคำถามสั้น ๆ กับผู้สื่อข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมศบค. และในที่ประชุมท่านผู้นำก็ย้ำเช่นกันว่าช่วงเวลาเคอร์ฟิวยังคงเป็นไปตามเดิม มีข้อยกเว้นตามที่พ.ร.ก.ฉุกเฉินกำหนด ขณะที่ศูนย์ข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์เซ็นเตอร์ ก็โชว์ผลงานจับ 3 มือโพสต์ปมประกาศเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน
อรชุน
เป็นอันว่าการเพิ่มระยะเวลาประกาศเคอร์ฟิวจาก 4 ทุ่มถึงตีสี่ ที่คนจำนวนไม่น้อยลุ้นกันตลอดสัปดาห์นี้ ไม่มีเกิดขึ้นแน่นอน เป็นคำยืนยันของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านการตอบคำถามสั้น ๆ กับผู้สื่อข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมศบค. และในที่ประชุมท่านผู้นำก็ย้ำเช่นกันว่าช่วงเวลาเคอร์ฟิวยังคงเป็นไปตามเดิม มีข้อยกเว้นตามที่พ.ร.ก.ฉุกเฉินกำหนด ขณะที่ศูนย์ข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์เซ็นเตอร์ ก็โชว์ผลงานจับ 3 มือโพสต์ปมประกาศเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน
ส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ 54 ราย ตายเพิ่มอีก 2 ยอดรวมอยู่ที่ 32 ราย ที่น่าสนใจคือตัวเลขของบุคลากรทางการแพทย์ที่พบติดเชื้อสะสมรวม 80 ราย ซึ่งก็ได้มีการแจกแจงรายละเอียดให้เห็นภาพชัดว่า ในจำนวนนี้เป็นการติดเชื้อจากการทำงาน 50 รายคิดเป็นร้อยละ 63.5 ติดเชื้อในชุมชน 18 รายคิดเป็นร้อยละ 22.5 และ อยู่ในระหว่างการสอบสวน 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 แต่นักรบด่านหน้าทั้งหมดยังขวัญและกำลังใจดี
ทั้งนี้ มีข้อแนะนำมาจาก นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. กรณีของประชาชนที่มีอาการป่วยว่า หากมีอาการป่วยให้เข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลที่ไม่ใช่คลินิกทั่วไป จะต้องเข้าไปที่คลินิกโรคไข้หวัดเพื่อเป็นการคัดกรองโรคระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะ และเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปยังบุคลากรแผนกต่าง ๆ ด้วย สิ่งสำคัญคือประวัติของผู้ป่วยจะต้องบอกความจริงกับบุคลากรผู้รักษาด้วย เนื่องจำนวนไม่น้อยของผู้ที่ติดเชื้อที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์เกิดจากการปกปิดข้อมูลของผู้ป่วยนั่นเอง
ส่วนตัวเลขการพบผู้ป่วยใหม่ที่ 54 รายนั้น ถามว่าเป็นตัวเลขที่น่าพึงพอใจหรือไม่ โฆษกศบค.ยืนยันยังไม่น่าพอใจและจะต้องมีการเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นทั้งมาตรการส่วนตัวและมาตรการทางสังคม แต่ในที่นี้คงไม่ได้หมายถึงเรื่องของเคอร์ฟิว เพราะสิ่งหนึ่งที่เป็นความห่วงใยในที่ประชุมศบค.ซึ่งท่านผู้นำนั่งหัวโต๊ะนั้นคือ จำนวนของคนไทยที่แสดงความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศ ที่พบว่าเวลานี้มีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 14,664 ราย
ที่ทำให้สังคมสบายใจกันได้หน่อย คงเป็นเรื่องที่ทุกรายที่เดินทางกลับมานั้น จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเข้มข้นและเข้าสู่การกักตัว 14 วันในสถานที่ที่รัฐได้จัดเตรียมไว้ให้ โดยในที่ประชุมท่านผู้นำได้สั่งการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ถึงวันนี้ในแง่ของการประเมินและเตรียมแผนรองรับนั้น ต้องยอมรับว่าไปกันถึงในระดับของการรับมือการระบาดครั้งใหญ่ไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าตระหนก หากมาตรการที่ได้ทำกันมาได้ผลในแง่ของตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดลงต่อเนื่อง
สิ่งที่ท่านผู้นำให้ความสำคัญและโฟกัสเป็นพิเศษคงเป็นกลุ่มคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศมากกว่า มีตัวอย่างให้เห็นแล้วจากกลุ่มผู้เดินทางไปทำกิจกรรมทางศาสนาหรือดาวะห์ที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่พบผู้ติดเชื้อกลุ่มใหญ่ ถือเป็นบทเรียนที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องไปทำความเข้าใจกับผู้นำทางศาสนาเพื่อให้งดเว้นกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องการกีดกันหรือไม่เข้าใจวัตรปฏิบัติในทางศาสนา หากแต่เวลานี้ความปลอดภัยในสุขภาพของประชาชนทุกคนสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
เพราะเล็งเห็นปัญหาด้านการสื่อสารกับประชาชนกระมัง ท่านผู้นำจึงสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง ทำความเข้าใจโดยเฉพาะประเด็นหน้ากากอนามัยที่วันนี้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่าน่าจะลดปัญหาการขาดแคลนได้บ้าง ถ้ามองเฉพาะกรณีนี้ก็ต้องบอกว่าไม่น่าจะสอดรับกับอารมณ์ร่วมของสังคมเป็นแน่ เนื่องจากการแก้ปัญหาด้วยการหันไปใช้หน้ากากอนามัย ทำให้ประชาชนเลิกบ่น แต่ที่ทุกคนอยากได้จริงและมีความชัดเจนคือ ปมสต๊อกที่เป็นปัญหากับการขาดแคลนก่อนหน้าจัดการกันอย่างไร ไม่ใช่บอกให้ลืม
มีสิ่งหนึ่งที่เก็บตกจากที่ประชุมหนนี้ คงเป็นเรื่องที่ท่านผู้นำบอกกับรัฐมนตรีว่า “ไม่ได้ลดทอนอำนาจ” ของใครบางคน แต่ต้องการทำให้เกิดการบูรณาการการทำงาน ถือเป็นคำยอดฮิตแต่ความจริงมันก็ชัดว่า รัฐมนตรีบางรายนั้น ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามความคาดหวังของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแต่อย่างใด มิหนำซ้ำ ยังส่อแสดงให้เห็นว่าจะสร้างปัญหาให้อีกต่างหาก การเลือกที่จะยึดเอางานมาไว้กับตัวหรือกระจายให้คนที่ไว้วางใจไปสานต่อจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ด้วยเหตุนี้หลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปแล้ว จึงเป็นสถานการณ์ทางการเมืองที่คนจำนวนมากเฝ้าติดตาม จะเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในรัฐบาลไปในทิศทางใด ไม่ใช่เพียงแค่พรรคร่วมที่ทำตัวเป็นปัญหาเท่านั้น พรรคที่ดูเหมือนว่าจะนิ่ง ๆ เป็นเหมือนหลิวลู่ลม แต่เอาเข้าจริงก็มีประเด็นให้ต้องพิจารณากันอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการแก้ไขวิกฤติ การโอบอุ้มบริวารที่กระทำผิดไม่เป็นตัวอย่าง ทำให้สร้างความไม่พอใจต่อท่านผู้นำอยู่หลายกรณี เหล่านี้คือสิ่งที่จะได้ตามเช็กบิลกัน
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากโควิด-19 หนักหน่วงและรุนแรงแน่ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดออกมาประเมิน ล่าสุด ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภายใต้การบริหารของ ธนวรรธน์ พลวิชัย ที่เวลานี้เลื่อนชั้นไปนั่งเป็นอธิการบดีแล้ว ระบุว่า ภาพรวมความเชื่อมั่นผู้บริโภคไม่ดี และน่าจะทำให้กำลังซื้อหายไป โดยครึ่งปีแรกเม็ดเงินจะหายจากระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย 1-1.5 ล้านล้านบาท ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคมอยู่ที่ 50.3 เป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 21 ปี 6 เดือน
ถือเป็นความเสียหายที่ไม่มีใครคาดคิด แต่สิ่งที่จะพิสูจน์ความสามารถในการบริหารของรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็คือ มาตรการที่ออกมากับเดิมพัน 1.9 ล้านล้านบาท ถ้าสถานการณ์การแพร่ระบาดจบลงเร็วเฉพาะภายในประเทศก็อาจจะได้เห็นการฟื้นตัวในเชิงที่เป็นบวกและเป็นผลดีต่อรัฐบาล แต่หากไม่เป็นไปตามที่คาดประกอบกับการระบาดในต่างประเทศยังหาจุดยุติไม่ได้ ก็ไม่มีใครอยากจะนึกภาพต่อไปว่าชะตากรรมของคนไทยและประเทศชาติจะเป็นอย่างไร
ส่วนปมแจกเงิน 5,000 บาทที่ยังถกเถียงกันอยู่เวลานี้ โดยเฉพาะกรณีตัดจำนวนคนได้สิทธิแล้วไปเพิ่มระยะเวลาเยียวยาให้นานขึ้น ล่าสุด อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีคลังออกมายืนยัน จ่ายแค่ 3 เดือนก่อนอีก 3 เดือนที่เหลือขอรอดูสถานการณ์ หากโควิด-19 จบก่อน สามารถยุติการเยียวยาได้ ตรงนี้ต้องเอาให้ชัดอย่าเป็นมาตรการแทงกั๊ก เพราะแค่กรณีการคัดกรองคุณสมบัติจากคนลงทะเบียนกว่า 24 ล้านคนเหลือ 9 ล้านคนก็ทำท่าจะวุ่นวายแย่ แล้วมามีเรื่องแบบนี้ระวังจะเกิดกระแสที่ไม่พึงประสงค์ไว้ให้ดี