เต็มลิมิต ?
*ก่อนหน้านี้ “โมนิก้า” รู้สึกแฮปปี้กับการทะยานขึ้นของดัชนี แต่เมื่อเห็นข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกรอบเล่นของตลาดหุ้นไทยปี 2563 น่าจะตันอยู่ที่ระดับ 1,250 จุด เลยเกิดอาการ “ชักกระตุก คอเกร็ง เข่างอ” ขึ้นมาในทันที เพราะสิ่งที่เห็นวานนี้คือ ดัชนีพยายามจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านดังกล่าวเสียแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปสำหรับการเปลี่ยนฐานใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม (ตามตำราเทคนิคควรย่ำฐานอีกสักสองสามวัน) นะคะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ก่อนหน้านี้ “โมนิก้า” รู้สึกแฮปปี้กับการทะยานขึ้นของดัชนี แต่เมื่อเห็นข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกรอบเล่นของตลาดหุ้นไทยปี 2563 น่าจะตันอยู่ที่ระดับ 1,250 จุด เลยเกิดอาการ “ชักกระตุก คอเกร็ง เข่างอ” ขึ้นมาในทันที เพราะสิ่งที่เห็นวานนี้คือ ดัชนีพยายามจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านดังกล่าวเสียแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปสำหรับการเปลี่ยนฐานใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม (ตามตำราเทคนิคควรย่ำฐานอีกสักสองสามวัน) นะคะ
*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมามองความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ว่า กำไรต่อหุ้นทั้งตลาดหุ้นในปี 2563 จะทำได้ในระดับเกิน 80 บาทไหม ? (คำนวณบนพี/อี 15 เท่าจะได้จุดเหมาะสมเบื้องต้น 1,200 จุด) เพราะเป็นจุดที่บอกให้รู้ถึงความเสี่ยงของการไต่เพดานบินสูงขึ้นต่อจากนี้ เดี๊ยนถึงอยากเห็นกระบวนการทดสอบแรงขายอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นแรงรับยังมีอยู่จำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้การขึ้นต่อจากนี้มั่นคงขึ้นพะยะค่ะ
*วันนี้ถึงต้องถามตรง ๆ กันอีกครั้งว่า ดัชนีขึ้นไปถึง 1,243.50 จุด หรือบวกไปเกือบ 38 จุด แต่ตอนปิดตลาดทรุดตัวลงมาปิดที่ 1,210.48 จุด บวกไป 4.71 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.35 หมื่นล้านบาท ยังเป็นจุดที่ลงทุนได้สบายบรื๋อสะดือโบ๋ใช่ไหม ? รวมทั้งแรงขายของฝรั่งตาน้ำข้าวที่ไหลออกมาราวกับท่อประปาแตก ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในอนาคตใช่ไหม ? โดยประเด็นที่อ้างอิงดังกล่าวจะเป็นตัวบอกใบ้ให้นักเล่น “รุกต่อ” หรือ “ตั้งรับ” สำหรับการเล่นหุ้นต่อจากนี้เป็นต้นไปไงล่ะคะ
*เช่นเดียวกับการทะยานขึ้นของน้อง BAM จนขึ้นไปถึง 22.60 บาท แต่สุดท้ายอ่อนตัวลงมาปิดที่ 21.20 บาท ลบไป 0.70 บาท หรือลงไป 3.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.29 พันล้านบาท ทั้งที่กลางเดือนก่อนยืนอยู่ที่ระดับ 16 บาท มันเป็นผลสืบเนื่องจากการได้เวฟภาษีเป็นจำนวนเงินสูงถึง 4 พันล้านบาทใช่ไหม ? “โมนิก้า” ถึงมองการเล่นหุ้นต่อจากนี้ คงขึ้นอยู่กับสตอรี่ใหม่ที่จะเข้ามาดันหุ้นมีอะไรที่เป็นรูปธรรมอีกบ้าง ? หากไม่มีอะไรใหม่เข้ามาเสริมเติมแต่ง..คงต้องพอแค่นี้นะจ๊ะ
*ตรงกันข้ามกับในรายของแบงก์ตราดอกบัว BBL ทะยานกลับขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง “โมนิก้า” มองได้เพียงเรื่องเดียวคือ under value บรรดากองทุนถึงกระโจนเข้ามาเก็บหนุบหนับ จนวานนี้หุ้นขยับขึ้นมาปิดที่ 106 บาท บวกไป 1 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.16 พันล้านบาท ถือเป็นช็อตที่น่าตามไปดูเหลือเกิน เพราะสถานการณ์วันนี้ไม่บีบคั้นเหมือนก่อนหน้านี้ จึงอยากให้แฟนคลับมองบุ๊กที่ระดับ 220 บาทมีส่วนดันหุ้นไหมเอ่ย ?
*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมาเหลือบมองหุ้นรถไฟใต้ดิน BEM อย่างเร่งด่วน หลังแสดงกำลังภายในด้วยการกระชากขึ้นมาปิดที่ 8.20 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 1.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.29 พันล้านบาท ท่ามกลางจำนวนผู้โดยสารลดฮวบฮาบในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เดี๊ยนมองเป็นความย้อนแย้งในตัวของมันเอง ผสานกับในมุมของ P/E และ P/BV ก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย จึงกลายเป็นช็อตที่ต้องระวังเจ้าค่ะ
*คล้ายกับในรายของ AWC ทะยานขึ้นมาปิดที่ 4.48 บาท บวกไป 0.34 บาท หรือขึ้นไป 8.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 352 ล้านบาท ทั้งที่ค่า P/E 125 เท่าเป็นชนักติดหลังอยู่แบบนี้ “โมนิก้า” ถือเป็นเกมที่กองทุนตัวแสบรู้ดีอยู่แล้วต้องเล่นสั้น ผสานกับมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า ไวรัสมรณะกระทบธุรกิจโรงแรมหนัก เดี๊ยนเลยมองเป็นเกมเสี่ยงที่แฟนคลับอย่าปล่อยอารมณ์ไปตามภาวะนะจ๊ะ
*เม้าท์ถึงหุ้นขนาดใหญ่พอหอมปากหอมคอแล้ว “โมนิก้า” ขอย้อนกลับมาดูหุ้นขนาดกลาง ๆ เพื่อเปิดเป็นทางเลือกให้กับนักเล่นกันสักนิดหนึ่งดีกว่า โดยตัวแรกที่อยากนำเสนอมากเหลือเกินในเที่ยวนี้คือ RBF ว่ากันว่าดีลขายบิ๊กล็อตที่ราคา 4.20 บาทเป็นผลสืบเนื่องมาจาก “เราไม่ทิ้งกัน” ขนาดราคาหุ้นทิ้งดิ่งลงไปถึงระดับ 2.80 บาท พาร์ตเนอร์แดนปลาดิบก็ไม่เปลี่ยนใจ เดี๊ยนถึงมองราคาปิดที่ 4.18 บาท บวกไป 0.08 บาท หรือขึ้นไป 1.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 57 ล้านบาท น่าจะเป็นจุดของการเล่นรอบใหม่เจ้าค่ะ
*อีกรายที่ไล่ราคาสนุกสนานมาพักใหญ่ ๆ “โมนิก้า” คงเทน้ำหนักไปยังหุ้น JMART หลังหุ้นขึ้นต่อเนื่องราว 2 สัปดาห์กว่า ๆ เดี๊ยนมาเห็นอีกที หุ้นก็ขึ้นมายืนอยู่ที่ระดับ 6.60 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 3.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 34 ล้านบาทเสียแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยืนเป็นไก่หงอยอยู่ที่ระดับ 4.50 บาท เดี๊ยนถึงมองเป็นช็อตน่าตามไปดูสำหรับพวกขาลุยน่ะซี