TOP มองผ่าน Q1/63 ไปลุ้น Q2/63 !?

การประเมินของบล.เอเชีย เวลท์ ว่าในไตรมาส 1 ปี 2563 ทาง TOP จะมีผลขาดทุนสุทธิราว 1.57 หมื่นล้านบาท พลิกจากที่มีกำไร 4.4 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 1 ปี 2562


คุณค่าบริษัท

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าหลาย ๆ สำนักประเมินช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP จะมีผลขาดทุนสุทธิ….. แต่จะมากน้อยเท่าไรต้องรอดูจากการประกาศชัด ๆ ของบริษัท!?

อย่างคร่าว ๆ จากการประเมินของบล.เอเชีย เวลท์ ว่าในไตรมาส 1 ปี 2563 ทาง TOP จะมีผลขาดทุนสุทธิราว 1.57 หมื่นล้านบาท พลิกจากที่มีกำไร 4.4 พันล้านบาทในช่วงไตรมาส 1 ปี 2562 และจากที่มีกำไรสุทธิ 1.98 พันล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 นั่นเอง

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 เนื่องจากการรับรู้ Stock loss (รวม NRV) ที่มากถึง 1.3 หมื่นล้านบาท จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง อีกทั้งการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 2.45 พันล้านบาท ตามทิศทางของค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และการดำเนินงานปกติ ได้รับผลกระทบจากค่าการกลั่น พร้อมด้วยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง

นอกจากนี้คาดว่า TOP จะมี Market GIM อยู่ที่ 2.6 เหรียญต่อบาร์เรล โดย Margin ของกลุ่มธุรกิจหลัก คาดบริษัทจะมีค่าการกลั่น ไตรมาส 1 ปี 2563 อยู่ที่ 0.5 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงจากช่วงไตรมาส 1 ปี 2562 อยู่ที่ 3.0 เหรียญต่อบาร์เรล และในไตรมาส 4 ปี 2562 อยู่ที่ 2.7 เหรียญต่อบาร์เรล โดยมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 111%

ส่วนทางด้านธุรกิจอะโรเมติกส์ บริษัทมี Margin อยู่ที่ 1.6 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากไตรมาส 4 ปี 2562 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ โดยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทมีส่วนต่างพาราไซลีนและเบนซีนเพิ่มขึ้น 34% และ 278% จากไตรมาส 4 ปี 2562 ตามลำดับ เป็นผลมาจากต้นทุนผลิต (ULG95) ที่ลดลง โดยบริษัทมีอัตราผลิตอยู่ที่ 80%

ทั้งนี้เมื่อรู้อยู่แล้วว่าในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 จะขาดทุนสุทธิก็ควรมองข้ามไปดูช่วงระยะถัดไปว่าจะกลับมาฟื้นเมื่อไร?

คำตอบจากบทวิเคราะห์ประเมินว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2563 แล้ว และเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ผลประกอบการจะฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2563 อยู่ที่ 95% จากความต้องการในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันอากาศยาน

ดังนั้นให้สมมติฐานค่าการกลั่น Market GRM อยู่ที่ 2.2 เหรียญต่อบาร์เรล และ Market GIM อยู่ที่ 4.5 เหรียญต่อบาร์เรล พร้อมกับคาดว่าหลังพ้นจากสถานการณ์โควิด-19 จะกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2563

ขณะที่ลุ้นว่าในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 จะฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นนั้น อีกสิ่งที่น่าสนใจ TOP ยังมีจุดแข็งด้วยพื้นฐานแข็งแกร่งอยู่

เมื่อไปดูฐานะทางการเงินก็ยังคงพบว่าแข็งแกร่งมาก ไม่ได้เลวร้ายสักนิดเดียว… เพราะสินทรัพย์หมุนเวียนมีมากถึง 134,676.29 ล้านบาท เทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 38,666.70 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 3.48 เท่า ถือว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังมีพอสมควร

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เนื่องจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากกิจการที่เกี่ยวข้องกันเพิ่มเข้ามา 3,998.85 ล้านบาท และมีหุ้นกู้จำนวน 97,184.20 ล้านบาท จึงทำให้บริษัทมีหนี้สินรวม 159,521.02 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 123,923.51 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 1.28 เท่า ซึ่งถือว่าระดับหนี้สินที่บริษัทมีอยู่ยังรับได้ เพราะอย่างไรหนี้ที่มีก็เป็นหนี้ระยะยาว และภาพรวมบริษัทยังสามารถทำกำไรได้อยู่

สิ่งสำคัญทางด้านค่า P/E อยู่ที่ 11.38 เท่า และค่า P/BV อยู่ที่ 0.60 เท่า ถือว่าค่อนข้างต่ำ อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 38.25 บาท ซึ่งราคาหุ้นยังคงต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น 58.81 บาท นับว่าน่าลงทุน

ประกอบกับนักวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48 บาท/หุ้น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 959,365,183 หุ้น 47.03%
  2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 178,407,296 หุ้น 8.75%
  3. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 75,177,740 หุ้น 3.69%
  4. STATE STREET EUROPE LIMITED 52,650,980 หุ้น 2.58%
  5. สำนักงานประกันสังคม  41,401,900 หุ้น 2.03%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการ
  2. นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่, กรรมการ
  3. น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร กรรมการ 4.นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ กรรมการ
  4. นายยงยุทธ จันทรโรทัย กรรมการ

Back to top button