Sell in May (and go away)

ใกล้เข้าสู่เดือนพฤษภาคมของทุกปี


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

ใกล้เข้าสู่เดือนพฤษภาคมของทุกปี

การพูดเรื่อง Sell in May (and go away) ได้กลับมาอีกครั้ง

ว่ากันว่า Sell in May and Go Away คือปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้นเผชิญแรงขายในเดือนพฤษภาคม

และมีแนวโน้มราคาลดลง

พร้อมกับมีการยกสถิติย้อนหลังไป 10 ปี ดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงถึง 7 ปี จาก 10 ปี

หากคิดแบบความน่าจะเป็นก็คือ 70% นั่นแหละ

สำหรับ Sell in May and Go Away ไม่ได้เกิดมาจากตลาดหุ้นไทย

ทว่า จุดเริ่มต้นมาจากตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่เป็นเหตุการณ์นักลงทุน “ขายหุ้นทำกำไร” ในช่วงเดือนพฤษภาคม

จากนั้นจะรอให้ตลาด “ปรับฐาน” ลงถึงจุดต่ำสุด และโดยสถิติจะใช้เวลาเป็นเดือนๆ  จนกระทั่งเริ่มเห็นสัญญาณตลาดฟื้นตัว จึงค่อยเริ่มซื้อหุ้นอีกครั้ง

มีการยกสถิติจากผลศึกษาข้อมูลดัชนีสำคัญทั่วโลก 15 ปีย้อนหลัง พบว่ามีความน่าจะเป็นประมาณ 50% ที่ตลาดหุ้นจะปรับลดลงในเดือนพฤษภาคม แต่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นประเทศตะวันตก

รวมถึงตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง อินเดีย

ในมุมมองของนักลงทุนรายใหญ่สาย VI “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

เขาบอกว่า ความเป็นจริงก็คือ  จากการศึกษาตลาดหุ้นในสหรัฐฯ กลับพบว่าตลาดหุ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมนั้นมักจะ “ขึ้น” มากกว่า “ลง”

ส่วนการศึกษาในตลาดหุ้นไทยนั้น ดร.นิเวศน์ บอกว่า “ไม่แน่ใจ”

แต่ก็คิดว่าเรื่อง Sell in May and go away นั้นไม่น่าจะเป็นจริง

หรือพูดง่าย ๆ  เป็นเรื่องที่บังเอิญมีการพูดกันเล่น ๆ นานมาแล้ว และคนจะพูดต่อ ๆ  กันไปทั้ง ๆ  ที่ไม่เป็นความจริงเลย

ดังนั้น  เรื่องนี้ไม่ควรจะไปยึดถืออะไรจริงจัง  แต่เชื่อเถอะว่าในปีต่อไปคนก็จะพูด (เรื่องนี้) อีกเวลาถึงเดือนพฤษภาคม

มาดูความเห็นของนักวิเคราะห์กันบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน ได้กล่าวไว้น่าสนใจเช่นกัน

โดยระบุว่า บรรยากาศการลงทุนในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเม.ย. 63 จะยังเคลื่อนไหวผันผวน

สาเหตุเพราะนักลงทุนเตรียมปรับ Position ก่อนเข้าสู่เดือนพ.ค.

และตลาดหุ้นไทยมักเจอกับ “แรงขาย”

ประกอบกับเป็นช่วงนักวิเคราะห์ทยอยปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และสภาพคล่องระยะสั้นเป็นลักษณะหดตัวมากกว่าภาวะปกติ

นักลงทุนนิยามช่วงนี้ว่า Sell in May and go away

เบื้องต้นประเมินกรอบการเคลื่อนไหวในเดือนพ.ค. มีแนวต้าน 1,300-1,320 จุด และแนวรับ 1,153-1,120 จุด

“หากย้อนหลังไป 10 ปีสถิติของ Sell in May ตลาดหุ้นไทยในเดือนพ.ค. ติดลบเฉลี่ย 0.50-3.00% เป็นการติดลบถึง 7 ปีในรอบ 10 ปี แม้ว่าค่าเฉลี่ยจะลดลงไม่มาก เพราะปี 2562 ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ขึ้นถึง 4% ดังนั้น หากตัดค่าเฉลี่ยของปี 2562 ออกไป ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเฉลี่ยถึง 2% และมักเป็นเดือนต่างชาติขายหุ้นไทยมากที่สุด”

มาดูความคิดเห็นของฝั่งบล.เอเซีย พลัส กันบ้าง

นั่นคือ ปัญหาโควิดที่ยังอยู่อาจเป็นการตอกย้ำให้เกิดเหตุการณ์ Sell in May

และทำให้ “ซ้ำรอย” ในอดีตที่เดือนพ.ค. ตลาดหุ้นไทยมักจะปรับตัวแรงเสมอ หรือเฉลี่ยลดลงราว 2%

มีปัจจัยหลัก ๆ 3 ปัจจัยที่มักเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ Sell in May อยู่เสมอ คือ

1.เดือนพ.ค. เป็นช่วงประกาศงบบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรก หากออกต่ำกว่าคาด จึงมีโอกาสที่จะถูก Sell on fact ได้

ยิ่งไปกว่านั้นในปีนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2563 น่าจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ทำให้ตลาดหุ้นในช่วงเดือนพ.ค. 2563 อาจไม่คึกคักมาก

2.เดือน พ.ค. เป็นเดือนที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติมักไหลออกจากตลาดหุ้นมากสุดเฉลี่ยสูงถึง 1.65 หมื่นล้านบาท

และ 3.เนื่องจากเดือนพ.ค. เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยขึ้นเครื่องหมาย XD และจ่ายปันผลงบปี 2562 เกือบหมดแล้วกว่า 408 ใน 488 บริษัท (คิดเป็น 83% ของบริษัทที่ประกาศจ่ายปันผล)

ทำให้นักลงทุนมีการโยกเงินกลับประเทศบางส่วน

รวมถึงก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD ยังได้เก็งกำไรหุ้นแล้ว จึงไม่มีแรงซื้อที่เข้ามาหนุนตลาดเหมือนกับเดือนที่ผ่าน ๆ มา

ทั้งหมดนี้ คือทรรศนะคร่าว ๆ ของปรากฏการณ์ Sell in May and Go Away

ส่วนปีนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น (อาจด้วยความบังเอิญ หรือเหตุผลปัจจัยบวก-ลบแต่ละปี)

อีกไม่กี่วัน เรามาลุ้นกัน

Back to top button