พาราสาวะถี
ความจริงมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว กับกรณีที่ประชุมครม.มีมติไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของศบค.ต่อการให้ยกเลิกวันหยุดนักขัตฤกษ์ของเดือนพฤษภาคมทั้งหมด กับเหตุผลที่ว่าหากให้มีวันหยุดเช่นนี้เกรงจะเกิดการเคลื่อนย้ายคน ไม่เป็นผลดีต่อการเฝ้าระวัง ป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งมันสวนทางกับสิ่งที่ศบค.เองมีมติไปทั้งการขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินและเคอร์ฟิว นั่นเท่ากับว่า ไม่ว่าจะมีวันหยุดหรือไม่มาตรการที่กวดขันก็ยังคงเข้มข้นต่อไป
อรชุน
ความจริงมันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว กับกรณีที่ประชุมครม.มีมติไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของศบค.ต่อการให้ยกเลิกวันหยุดนักขัตฤกษ์ของเดือนพฤษภาคมทั้งหมด กับเหตุผลที่ว่าหากให้มีวันหยุดเช่นนี้เกรงจะเกิดการเคลื่อนย้ายคน ไม่เป็นผลดีต่อการเฝ้าระวัง ป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งมันสวนทางกับสิ่งที่ศบค.เองมีมติไปทั้งการขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินและเคอร์ฟิว นั่นเท่ากับว่า ไม่ว่าจะมีวันหยุดหรือไม่มาตรการที่กวดขันก็ยังคงเข้มข้นต่อไป
ส่วนเรื่องการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ก็เป็นเรื่องของกิจกรรมและกิจการบางประเภท เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่แม้จะดำเนินการได้ก็ยังเป็นไปตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ ดังนั้น เรื่องข้อเสนอให้ยกเลิกวันหยุดของเดือนพฤษภาคม จึงไม่สอดคล้องกับการขอขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าคุมการเดินทางของประชาชนไม่ได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ไม่ได้เป็นไปด้วยความเคร่งครัดและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไร้ประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน อีกเหตุผลสำคัญที่คิดว่าครม.มองเห็นความยุ่งยากรออยู่เบื้องหน้าคือ ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะจบลงเมื่อใด หากต้องใช้วิธีการเลื่อนวันหยุดไปเรื่อย ๆ มันจะถูกนำไปทบกันในช่วงปลายปี ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีต่อทั้งระบบราชการและภาคเอกชนเอง เวลานี้ก็ยังมีวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่คาอยู่ในมือ ที่ยังไม่รู้ว่าจะไปหย่อนลงกันในช่วงเวลาใด ด้วยเหตุนี้ การที่ไม่เลื่อนวันหยุดของเดือนพฤษภาคมจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
หันกลับมาดูตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ ถือว่าลดลงอยู่ในตัวเลขหลักเดียวเป็นวันที่สอง โดยวันวานพบผู้ป่วย 7 ราย ตรงนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเฝ้าระวัง ป้องกันของประเทศไทย ขณะเดียวกันความสำเร็จเบื้องต้นที่เกิดขึ้นก็มาจากความร่วมมืออันดีของภาคประชาชน การรณรงค์เรื่องของการใช้หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม และการทำงานอยู่ที่บ้าน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แต่การที่เริ่มจะมีผู้คนเดินทางกลับมาทำงานและใช้ชีวิตเกือบปกตินั้น ไม่น่าจะเป็นสัญญาณที่สู้ดีนัก
ต้องอย่าลืมเป็นอันขาด ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนและยารักษาโควิด-19 ไม่มีทางที่ประเทศใดในโลกนี้จะเบาใจต่อการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายตัวนี้ได้ สิ่งที่ประเทศไทยทำได้ในเวลานี้คือการชะลอการแพร่ระบาดของโรค เพื่อรอวัคซีนและยารักษาเท่านั้น ดังนั้น ทุกสิ่งที่ทำมาจนทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงไปเหลือเลขตัวเดียวนั้น จึงเป็นการเพียงสร้างความอุ่นใจให้กับคนไทยในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจจะเบาใจหรือไว้วางใจได้แม้แต่น้อย
ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วจากการกลับมาระบาดระลอกที่สองของสองประเทศพัฒนาแล้วในเอเชียทั้งญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิดการย่อหย่อนในการปฏิบัติตัวของประชาชน การทำกิจวัตรประจำวันกลับไปเป็นเหมือนปกติ เมื่อนั้นมันเป็นเหมือนการที่เราได้พาตัวเองเข้าสู่จุดเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อโควิด-19 ได้อยู่ตลอดเวลา คำว่า “การ์ดอย่าตก” จึงเป็นสิ่งที่ใช้ได้ มาตรการของรัฐที่บังคับใช้ไม่สำคัญเท่ากับการดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังของประชาชน
การผ่อนปรนของรัฐบาลที่เกิดขึ้น จึงจะเป็นบทพิสูจน์ความมีวินัยของประชาชนว่าจะสามารถปฏิบัติตัวได้เหมือนกับช่วงที่มีความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมายและดำเนินมาตรการที่เข้มข้นหรือไม่ อย่าได้ลืมเป็นอันขาดว่า ท่านผู้นำประกาศไว้แล้ว ทุกการผ่อนคลายจะใช้เวลา 14 วันในการประเมิน ถ้าทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี หมายความว่าไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่ม ก็จะขยับคลายล็อกกันในช็อตต่อไป แต่ถ้าเลวร้ายลง ทุกอย่างก็ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม
เรื่องนี้ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้ให้ความเห็นไว้แล้วว่า ต้องเข้าใจเมื่อรัฐบาลผ่อนปรนแล้ว คนจะออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้น และเชื่อว่าอัตราการป่วยก็จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนต้องทำความเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือเพื่อให้ผู้ป่วยไม่กลับมาเพิ่มสูงจนเกินศักยภาพของโรงพยาบาลจะรับได้ สิ่งที่ต้องคงไว้อย่างเข้มข้นคือ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร
ตัวเลขที่ดีวันดีคืนขึ้นมานั้น อย่างที่ได้ย้ำมาตลอดว่า ไม่ใช่ตัวเลขของผู้ป่วยที่พบเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา แต่เป็นตัวเลขของเมื่อ 7 วันถึง 14 วันที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น ผลแห่งการกระทำในวันนี้ต่อกรณีโควิด-19 ก็จะไปปรากฏอีก 7 ถึง 14 วันข้างหน้า ตรงนี้การที่ได้เห็นผู้คนและรถราในกรุงเทพฯ กลับมาคึกคักอีกครั้ง อาจดูเหมือนเป็นความหวังของทุกคน ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ แต่หากคนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักและร่วมกันมีจิตสำนึกที่ดี มีวินัยในการป้องกันโรคแล้ว ที่เป็นความหวังอาจจะเป็นหายนะที่รออยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
ท่ามกลางการต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น และพยายามที่จะทำให้ฝ่ายค้านไม่มีพื้นที่บนหน้าสื่อ ด้วยวาทกรรมพักวางการเมืองเอาเรื่องของบ้านเมืองไว้ก่อน แต่ดูท่าว่าภายในพรรคแกนนำรัฐบาลกลับจะมีปัญหาเสียเอง กับกระแสข่าว พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะทำการยึดอำนาจการบริหารภายในพรรคสืบทอดอำนาจทั้งหมด เพื่อจัดวางตัวบุคคลให้ตอบสนองงานด้านการเมืองให้มากที่สุด มิเช่นนั้น จะเกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรคอยู่ร่ำไป
อย่างไรก็ตาม การขยับของพี่ใหญ่นั้นดูท่าว่าจะไม่สอดรับกับท่าทีของน้องเล็ก เมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเกิดขึ้น นั่นคงเป็นเพราะพอใจกับบทบาทที่ตัวเองเป็นอยู่เวลานี้และทีมงานที่คอยป้อนข้อมูลด้านเศรษฐกิจให้ได้โชว์วิสัยทัศน์อยู่เป็นประจำ แม้หลายครั้งจะทำให้ท่านผู้นำหน้าแหกหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ตาม ขณะที่อีกด้านก็อ่านเกมกันไปไกลว่า หลังจากเสร็จภารกิจกอบกู้ประเทศจากภัยโควิด-19 แล้ว ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอาจจะไม่ขอไปต่อ
เหตุผลต่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าสภาพของประเทศไทยจะเป็นแบบไหน การกอบกู้ ฟื้นฟู ต้องใช้พลังและความสามารถมหาศาล ดังนั้น หากสามารถคุมสถานการณ์ได้ โดยมีเสียงชื่นชมอยู่บ้าง ก็จะเป็นหนทางลงจากหลังเสือที่น่าจะดูดีที่สุดแล้ว หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักการเมืองมืออาชีพที่จะมารับไม้ต่อ ส่วนจะเดินกันไปอย่างมั่นคงหรือล้มเหลว เป็นสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ไม่ต้องมาร่วมรับรู้อีกต่อไป