พาราสาวะถี

เห็นผู้คนหลั่งไหลกลับต่างจังหวัดโดยเฉพาะถนนสายมิตรภาพ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ คนจำนวนไม่น้อยอัดอั้นกับการไม่ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงสงกรานต์ พอหยุดยาวเที่ยวนี้บวกกับการสื่อสารของรัฐบาลที่ไม่ได้ตอกย้ำเรื่องการห้ามเดินทางข้ามจังหวัด มันจึงทำให้เกิดภาพดังกล่าวขึ้น ซึ่งก็คงต้องหยวน ๆ กันไป สุดท้ายก็ไปวัดเอาในช่วงหลังจากนี้ 7-14 วัน พื้นที่ต่าง ๆ จะมีตัวเลขของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร นั่นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่ามาตรการคลายล็อกและการผ่อนคลายความเข้มงวดของภาครัฐได้ผลหรือไม่


อรชุน

เห็นผู้คนหลั่งไหลกลับต่างจังหวัดโดยเฉพาะถนนสายมิตรภาพ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ คนจำนวนไม่น้อยอัดอั้นกับการไม่ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงสงกรานต์ พอหยุดยาวเที่ยวนี้บวกกับการสื่อสารของรัฐบาลที่ไม่ได้ตอกย้ำเรื่องการห้ามเดินทางข้ามจังหวัด มันจึงทำให้เกิดภาพดังกล่าวขึ้น ซึ่งก็คงต้องหยวน ๆ กันไป สุดท้ายก็ไปวัดเอาในช่วงหลังจากนี้ 7-14 วัน พื้นที่ต่าง ๆ จะมีตัวเลขของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่อย่างไร นั่นจะเป็นตัวบ่งชี้ว่ามาตรการคลายล็อกและการผ่อนคลายความเข้มงวดของภาครัฐได้ผลหรือไม่

แต่ก็น่าเห็นใจของผู้เดินทางจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะกับคนที่เดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต เหตุเพราะไม่มีงานทำ ทุกอย่างหยุดชะงักช่วงโควิด-19 ระบาด ดังนั้น จำนวนไม่น้อยจึงต้องถอยไปตั้งหลักยังบ้านเกิด อย่าลืมว่าแม้จะไม่มีงานทำ แต่บ้านไม่ต้องเสียค่าเช่า ข้าวยังพอมีกรอกหม้อ อาหารก็พอที่จะหากินตามสภาพ ไม่ต้องอดอยากปากกัดตีนถีบเหมือนอยู่ต่างถิ่น สิ่งนี้บางทีรัฐบาลก็ต้องหันมาให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ถ้าต้องการให้ประชาชนทุกคนพร้อมรับวิถีชีวิตใหม่ ก็ต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตให้เขาด้วย

โดยความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ต้องเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เห็นฝ่ายรัฐบาลมีความประสงค์อยากจะให้คนกลับท้องถิ่นคืนภูมิลำเนากันมากขึ้น คำถามที่สำคัญคือ มีงานการหรืออาชีพที่มั่นคงให้คนเหล่านั้นเขาเลี้ยงชีพได้หรือไม่ จังหวะนี้บนวิกฤติก็ต้องพลิกให้เป็นโอกาสให้ได้ โชว์วิสัยทัศน์แสดงความสามารถในการบริหาร ตรึงให้คนที่กลับไปตั้งหลักยังถิ่นฐานได้ปักหลักอยู่กันแบบถาวรไปเลยได้ไหม ถ้าทำได้เลือกตั้งหนหน้าก็จะสามารถสู้กับพรรคของทักษิณได้คู่คี่สูสีแน่นอน

อย่างไรก็ตาม กรณีคนแห่กลับบ้านกันนั้น แทนที่ศบค.จะไปตราหน้าว่าคนเหล่านี้เสี่ยงทั้งการติดโรคและแพร่โรค ควรจะมีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลและมีแนวทางที่จะดูแลให้สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่มากกว่า อย่างที่ นายแพทย์เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ของพรรคเสรีรวมไทยได้เสนอแนะ กล่าวคือ คนกลุ่มนี้แม้จะเดินทางได้โดยไม่ป่วย ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าบางคนหรือหลายคนมีเชื้ออยู่ในตัว

แน่นอนว่าหากเป็นคนที่มีเชื้ออยู่ย่อมจะมีโอกาสในการแพร่โรคให้คนอื่นได้ เมื่อตั้งสมมติฐานไว้เช่นนี้ คนกลุ่มนี้ก็น่าจะเป็นประชากรกลุ่มเสี่ยงที่ศบค.ควรต้องสั่งให้ทุกคนได้รับการตรวจหาเชื้อ ถ้าพบก็จะได้กักกันและแยกโรคไม่ว่าจะโดย state หรือ local quarantine เมื่อทำตามนี้แล้วก็จะส่งผลดีคือ ทำให้ศบค.สามารถควบคุมการระบาดได้ ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อในคนกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้ศบค.มีหลักฐานอ้างอิงที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

เมื่อมีหลักฐานที่มีน้ำหนักและมีความน่าเชื่อถือ ก็ย่อมนำไปใช้กำหนดมาตรการต้องห้ามต่าง ๆ ที่ประชาชนจะโต้แย้งไม่ได้ และจะพูดได้เต็มปากว่าคนพวกนี้นี่แหละที่ก่อเหตุเพราะไม่เชื่อฟัง หากไม่ได้ดำเนินการสิ่งที่พูดมาก็จะเป็นการกล่าวหาโดยไม่มีข้อพิสูจน์ที่แท้จริง เหมือนที่ผ่านมาที่คนแห่กันกลับบ้าน เพราะตกงาน หลังจากกทม.สั่งปิดห้างและสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งครั้งนั้นไม่มีการระดมตรวจหาเชื้อกับคนกลุ่มดังกล่าวเพื่อเป็นข้อมูลเก็บไว้แม้แต่น้อย

ชัดเจนว่า มีบทเรียนมาแล้ว รอบนี้ต้องจัดการให้เรียบร้อย ถ้าตัวเลขติดเชื้อเพิ่มเพราะคนตกงานเดินทางกลับบ้านหรือไปเที่ยวในวันหยุดยาว หรือเพิ่มขึ้นจากรัฐปล่อยให้คนนำเชื้อเข้ามาแล้วกักกันไม่ได้ดี หรือเพราะไม่สามารถทำ physical distancing ในบ้านเล็ก ๆ ที่อยู่กันหลายคนได้ นอกจากต้องเกาะเพดานหรือผนังบ้านได้เหมือนจิ้งจก เพื่อรักษาระยะห่าง 2 เมตร อย่างหลังแม้ดูจะเป็นการประชดประชัน แต่ทั้งหมดเมื่อสร้างองค์ความรู้ให้ทุกคนได้ตระหนักแล้ว ความรับผิดชอบก็ต้องมีทั้งต่อครอบครัวและสังคม

เหตุที่ต้องยกเหตุผลของหมอเรวัตมาอธิบาย อย่าลืมว่าส.ส.บัญชีรายชื่อท่านนี้แม้จะอยู่พรรคการเมืองที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่ในอดีตฐานะอธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ รองปลัดกลุ่มภารกิจรับผิดชอบ อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เคยต่อสู้กับการระบาดของโรคซาร์ส ไข้หวัดนก เมอร์ส และไข้หวัดใหญ่ 2009 มาแล้ว ย่อมเข้าใจกลไกและวิธีการปฏิบัติทางการแพทย์และสาธารณสุขที่รับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้เป็นอย่างดี

อยู่ที่ว่าท่านผู้นำเลือกที่จะรับฟังความเห็นที่เป็นประโยชน์แล้วนำไปปรับใช้ หรือฟังแค่พวกเดียวกันเอง อย่าลืมเป็นอันขาดในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ มีน้อยคนนักที่จะออกมาแสดงความเห็นในเชิงที่ไม่เป็นคุณใด ๆ กับประเทศชาติและประชาชน ยิ่งเป็นตัวแทนของประชาชนด้วยแล้ว ต้องเชื่อโดยสุจริตใจไว้ก่อนว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่ปรารถนาดีด้วยกันทั้งสิ้น ที่สำคัญจะเป็นบทพิสูจน์ด้วยว่าที่ประกาศให้โควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติและพร้อมรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนที่เคยลั่นวาจาไว้ของท่านผู้นำแค่ลมปากหรือจริงใจ

อดดีใจแทน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ที่ผลสำรวจความเห็นล่าสุด ท่านผู้นำสอบผ่านโดยประชาชนถึงร้อยละ 84.2 มั่นใจว่าสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ แต่จะดีใจมากกว่านี้หากผลโพลดังว่ามาจากองค์กรที่คนส่วนใหญ่ให้การยอมรับและเชื่อถือ แต่นี่ดันเป็นผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งภาพชัดว่าเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล ซึ่งเหตุผลเท่านี้อาจจะไม่ใช่ตัวชี้วัด ทว่ามันมีผลงานสร้างความฮือฮามาแล้วในอดีต

หากจำกันเมื่อปี 2558 ได้มีผลสำรวจความเห็นของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าคะแนนนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์สูงถึงร้อยละ 99.5 กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ในเวลานั้น แน่นอนว่ามันถูกพิสูจน์แล้วผ่านผลการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562 หากคะแนนนิยมสูงขาดนั้นจริง พรรคแกนนำรัฐบาลคงไม่ต้องใช้เวลารวบรวมเสียงนานจนกระทั่งกระทบถึงงบประมาณปี 2563 มาถึงทุกวันนี้ คนจำนวนไม่น้อยก็นึกว่าองค์กรนี้จะมีการเลิกทำโพลแบบนี้ไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม หนนี้ดีกว่าหนก่อนหน่อยตรงที่มีข้อเสนอแนะไปยังท่านผู้นำว่าควรเร่งรัดแก้ไขปัญหาของประเทศตามความต้องการของประชาชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของรัฐบาล ควรประชาสัมพันธ์การทำงานของรัฐบาลให้ประชาชนรับทราบในหลายช่องทางนอกจากสื่อโทรทัศน์ ควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่เห็นข้อเสนอเช่นนี้แล้วเทียบกับงบประมาณที่ใช้ไปถ้าเป็นผู้บริหารมืออาชีพจริงบอกได้คำเดียวว่าเสียเวลาเปล่า

Back to top button