พาราสาวะถี
เกิดปุจฉากันจำนวนไม่น้อยเว้นแต่คอสุรา กรณีที่รัฐบาลอนุญาตให้มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคมเป็นต้นมา ทั้งที่ความจริงกรณีนี้น่าจะเป็นระยะสุดท้ายที่จะได้รับการผ่อนปรน เหมือนอย่างคำถามที่เกิดขึ้นจาก นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ที่ผ่านมาการไม่ให้ขายเหล้าไม่มีใครเดือดร้อนยกเว้นเศรษฐกิจที่กระทบ
อรชุน
เกิดปุจฉากันจำนวนไม่น้อยเว้นแต่คอสุรา กรณีที่รัฐบาลอนุญาตให้มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคมเป็นต้นมา ทั้งที่ความจริงกรณีนี้น่าจะเป็นระยะสุดท้ายที่จะได้รับการผ่อนปรน เหมือนอย่างคำถามที่เกิดขึ้นจาก นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ที่ผ่านมาการไม่ให้ขายเหล้าไม่มีใครเดือดร้อนยกเว้นเศรษฐกิจที่กระทบ
ถ้ายกเอาเฉพาะกรณีโควิด-19 เป็นตัวตั้ง สิ่งที่ต้องตอบให้ได้คือ ใครจะกินเหล้าคนเดียว บอกว่าไม่มีคงไม่ได้ หากเทียบกับการตั้งวงก๊งเหล้าอย่างไหนจะมีมากกว่ากัน ตรงนี้มันมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว หรือรัฐบาลคิดว่าก็มีการปรับวิธีการของเจ้าหน้าที่จากที่ตั้งด่านตรวจเป็นการเดินสายตรวจเพื่อค้นหาเป้าหมายให้มากขึ้น
กรณีนี้คงไม่มีใครโต้แย้ง แต่ที่จะต้องตอบให้ได้คือ มีกำลังมากพอที่จะตรวจตราเพื่อไม่ให้เกิดการสุมหัว รวมกลุ่มกันได้ทุกพื้นที่หรือไม่ ถ้าไม่ตรงนั้นแหละที่น่าห่วง เพราะส่วนหนึ่งของตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พบจำนวนไม่น้อยก่อนหน้า ก็มาจากการดื่มเหล้าแก้วเดียวกัน ตั้งวงทำกิจกรรมสัมผัสใกล้ชิดกัน ดังนั้น จึงไม่สามารถมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า ที่ผ่อนปรนให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้นั้น ไม่ใช่เพราะกลัวคอสุราจะลงแดงตาย แต่เพราะผลประโยชน์มหาศาลจากธุรกิจน้ำเมามากกว่า
ขณะเดียวกัน สิ่งที่หมอแท้จริงสรุปปิดท้ายก็น่าสนใจ การเปิดให้ขายสุราเร็วกว่าที่คาดก็คือ ถ้าไม่ดื่มสุราแล้วตายตนไม่ค้าน แต่ไม่ดื่มเดือนที่ผ่านมาไม่มีใครเดือดร้อน ยกเว้นคนขายที่ได้รับผลกระทบ แต่เมื่อมาขายจะทำความลำบากให้สังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทะเลาะวิวาท ความรุนแรงในครอบครัว อุบัติเหตุ การระบาดของไวรัสรอบใหม่ แต่ถ้าวันนี้เกิดระบาดขึ้นมาใหม่จะเกิดจากสุราหรือไม่ไม่มีใครรู้ ก็ต้องสั่งปิดใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านเสริมสวย ร้านอาหาร ตลาด เพราะสุราเป็นเหตุ
ความจริงบางสิ่งที่รัฐบาลนี้ตัดสินใจลงไป ไม่ต้องหาคำอธิบายอะไรให้มาก หากปะติดปะต่อข่าว ต่อจิ๊กซอว์ก็จะเห็นภาพของการกระทำได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะท่าทีของท่านผู้นำต่อการรับฟังความเห็นของบางพวกบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ของผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่ดีวันดีขึ้น คงจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อแนวทางและการตัดสินใจของรัฐบาลไม่มากนัก ซึ่งเสียงที่ค่อย ๆ จางลงไปนี่แหละเป็นสิ่งที่น่ากลัว
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า เสียงทักท้วงที่อื้ออึง ตัวเลขที่สูงขึ้น มันคือเครื่องมือในการเตือนสติให้ตื่นตัว เรียนรู้ที่จะเว้นระยะห่างทางสังคม งดการพบปะสังสรรค์โดยไม่จำเป็น วันนี้ หากมาตรการผ่อนปรนทำให้คนรู้สึกสบายใจ ไม่กังวล ความร่วมมือและการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงนั้น ยังจะคงเหนียวแน่นเหมือนเดิมหรือไม่ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม และตัวเลขของการกระทำในวันนี้จะไปปรากฏอีกทีใน 7-14 วันข้างหน้า ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีการกลับมาระบาดระลอกสองเหมือนหลายประเทศที่เห็นเป็นตัวอย่าง
ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ดูท่าว่าจะสะกดความเคลื่อนไหวทางการเมือง ในแง่ของความเห็นที่หนักหน่วง รุนแรงจากพรรคฝ่ายค้านเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่กลับมีสิ่งที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเองอันเป็นข่าวความขัดแย้งภายในของพรรคสืบทอดอำนาจ นั่นแสดงให้เห็นว่า คำประกาศของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อการเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้าพรรคของ อุตตม สาวนายน และเลขาธิการพรรคของ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่ว่า “จบแล้ว” ไม่เป็นความจริง
สิ่งที่บอกว่าจบในความหมายของบิ๊กป้อมคือจบในแง่ไม่มีการกดดันให้หัวหน้าพรรคต้องเขียนใบลาออกจากตำแหน่ง แต่ยังมีความพยายามในการที่จะให้แกนนำพรรคที่เป็นกรรมการบริหารพรรคในซีกของคนที่ต้องการเข้าไปกุมบังเหียนให้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหาร ซึ่งหากมีจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมการบริหารทั้งหมด ย่อมจะทำให้เก้าอี้หัวหน้าและเลขาฯ พ้นสภาพไปโดยปริยาย
เพียงแต่ว่าการขยับหนนี้ยังไม่บรรลุเป้าหมาย เนื่องจากเสียงที่รวบรวมได้ยังไม่ถึง ขณะที่อีกฝ่ายมองเห็นความพยายามดังกล่าว จึงส่งเด็กในคาถาออกมาให้ข่าวในลักษณะ “ดักคอ” แกนนำบางรายที่มีหัวโขนเป็นรัฐมนตรีเพื่อไม่ให้แปรพักตร์หันไปหนุนขบวนการล้มเก้าอี้กันในรอบนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าขุนศึกย่อมไม่ได้มีหมากเกมแค่ชั้นเดียว หากแผนสองไม่ประสบความสำเร็จ ก็มีการเตรียมที่จะเคลื่อนแผนสามตามมาทันที งานนี้มีเพียงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเท่านั้นที่จะหยุดความเคลื่อนไหวนี้ได้
ดังนั้น ในขณะที่ด้านหนึ่งต้องต่อสู้กับโควิด-19 จนสร้างความเครียดให้กับท่านผู้นำอยู่ตลอดเวลา กลับยังมีปัญหาจากพวกเดียวกันที่แย่งชิงเก้าอี้กันอย่างไม่ละอาย วงในของท่านผู้นำก็ยอมรับว่า สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมาตลอดนับตั้งแต่ตัดสินใจสืบทอดอำนาจ แล้วไประดมไพร่พลที่เป็นบรรดาเสือหิวเสือโหยทั้งหลายมาอยู่ใต้อาณัติ เพียงแต่เข้าใจว่าด้วยขุมกำลังทางอำนาจที่วางไว้บวกกับกลไกของข้อกฎหมายที่ออกแบบเอง จะใช้เป็นเครื่องมือในการกำราบคนเหล่านั้นให้อยู่หมัด
พอเวลาผ่านไป กฎหมายที่คิดว่าจะใช้เป็นเครื่องมือกลับมีปัญหาในทางปฏิบัติเสียเองหลาย ๆ เรื่อง จึงทำให้กลไกที่วางไว้เกิดการสะดุด ประกอบกับการประเมินกำลังของนักการเมืองผิดไป จะมีพวกเชื่องเพียงแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นซึ่งก็เป็นคนที่ได้รับการปูนบำเหน็จจนเป็นที่พอใจ ส่วนพวกที่ตกสำรวจทั้งที่หลายรายอาวุโสกว่าและน่าจะอยู่ในสายตาของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแต่กลับถูกมองข้าม ด้วยเหตุนี้แรงกระเพื่อมภายในพรรคจึงเป็นอย่างที่เห็น
การจัดสรรอำนาจของพี่ใหญ่จากที่น้องเล็กเคยไว้วางใจอย่างเต็มที่ ก็ดูท่าว่าจะไม่เป็นไปเหมือนเมื่อคราวที่เป็นผู้นำอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นั่นเป็นเพราะพี่ใหญ่เล่นการเมืองเป็นไม่ยอมหักด้ามพร้าด้วยเข่า แต่น้องเล็กชอบเล่นบทยอมหักไม่ยอมงอ จึงทำให้การประสานผลประโยชน์หลายหนเกิดการติดขัด กระนั้นก็ตาม สัญญาณขัดแย้งที่ถูกส่งออกมาจากพรรคสืบทอดอำนาจ หลังเสร็จศึกโควิด-19 จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แน่นอน ไม่ต้องสงสัยว่าจะกระทบต่อพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยหรือไม่