การบินไทย หลังฟื้นฟูฯ
หากไม่มีอะไรผิดพลาด
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
หากไม่มีอะไรผิดพลาด
วันนี้ (19 พ.ค.) ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพิจารณาเรื่อง “การบินไทย” (THAI)
หลังจากวานนี้ (18 พ.ค.) ทั้งคลังและคมนาคม ต่างเห็นชอบตรงกัน (แบบมีเซอร์ไพรส์ เพราะก่อนหน้านี้คลังกับคมนาคมเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดเรื่องของการบินไทย) เพื่อให้การบินไทยเข้าสู่กระบวนการการฟื้นฟูภายใต้ พ.ร.บ.ล้มละลาย ต่อศาลล้มละลาย
ย้ำกันอีกครั้งว่า แนวทางการฟื้นฟูฯ ไม่ใช่เป็นการทำให้การบินไทยล้มละลาย
ทว่าเป็นการให้ศาลล้มละลาย เข้ามาจัดการเรื่องแผนฟื้นฟูฯ ของการบินไทย เรียกเจ้าหนี้ ลูกหนี้ มาคุยกัน
หรือคล้าย ๆ กับแนวทางการฟื้นฟูฯ ของ TPI (หรือ IRPC ในปัจจุบัน) เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้
จะว่าไปแล้ว
แนวทางการฟื้นฟูฯ เขาก็มีสูตรในการจัดการ การแก้ไขอยู่นั่นแหละ
ทั้งศาล ที่ปรึกษาทางการเงิน หรือ เอฟเอ ต่างรู้แนวทางกันอยู่แล้ว
ประเด็นสำคัญที่หลายคนสงสัย และตั้งคำถามคือ การบินไทยจะยังคงเป็น “รัฐวิสาหกิจ” (ต่อไป)
หรือจะเปลี่ยนไปเป็น “เอกชน” แบบเต็มตัว
ล่าสุด ข่าวออกมาแล้วว่า คลังจะลดสัดส่วนการถือครองหุ้นต่ำกว่า 50% แล้วให้หน่วยงานที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจเข้าไปถือหุ้น (เพิ่มทุน) แทน เช่น กองทุนวายุภักษ์
หากเป็นแบบนี้ นั่นหมายความว่า การบินไทย จะไม่ใช่รัฐวิสาหกิจอีกต่อไป
และล่าสุดของล่าสุด ทางสหภาพการบินไทย ออกมาคัดค้านแล้วในประเด็นดังกล่าว
คือ จะไม่ยอมให้คลังลดสัดส่วนการถือหุ้นลงมา
ก็ต้องจับตากันดูว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป
ในประเด็นนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข บอกว่า ตามหลักการแล้ว การเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการจะทำให้ THAI ต้องหลุดออกจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ
เหตุผลเพราะจะต้องมีการเจรจาตกลงกันระหว่างเจ้าหนี้และผู้จัดทำแผนฟื้นฟูฯ
และเมื่อเข้าสู่แผนฟื้นฟูฯ แล้ว อำนาจการบริหารทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ
และศาลจะเป็นผู้แต่งตั้งตามคำแนะนำของเจ้าหนี้
อีกทั้งแผนฟื้นฟูฯ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้
เรื่องนี้ยังต้องใช้เวลาในการเกาะติด และดู “ความจริงใจ” ว่า จะให้การบินไทยหลุดพ้นจากรัฐวิสาหกิจหรือไม่
เพราะหากหลุดพ้นได้
ย่อมทำให้ความเสี่ยงที่ “ฝ่ายการเมือง” จะเข้ามาแทรกแซงผ่านการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือ สคร. เกี่ยวกับการตั้งคณะกรรมการ เป็นไปได้ยากขึ้น
เพราะที่ผ่านมา มักจะมีการส่งคนฝ่ายการเมืองพรรคโน้น พรรคนี้ เข้าไปนั่งบริหาร
แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่า หากการบินไทยเป็นเอกชนเต็มตัวแล้ว
การเมืองจะเข้ามาแทรกแซงไม่ได้
เพียงแต่ว่า จะเข้าไปแทรกแซงได้ยากขึ้น
ส่วนแนวทางการ “ลดทุน” แล้ว “เพิ่มทุน” ก็คงเลี่ยงไม่พ้น
ใครเป็นผู้ถือหุ้นเดิมคงต้องยอมเจ็บตัวกันบ้าง
ส่วนเงินเพิ่มทุนใหม่ ที่ถูกใส่เข้ามาก็ต้องไม่ถูกนำไปโปะของเก่า แต่จะต้องนำมาใช้เพื่อการลงทุนใหม่ ๆ เท่านั้น
อีกประเด็นที่หลายคนติดตามคือ โมเดลธุรกิจใหม่ของการบินไทย หลังแผนฟื้นฟูฯ จะเป็นอย่างไร
เพราะหากยังเหมือนเดิม ก็คงไปแข่งขันกับเขาไม่ได้
อย่างตอนนี้สายการบินแถวตะวันออกกลาง เขาปรับรูปแบบธุรกิจกันไปไกลแล้ว
หรืออย่างในกลุ่มอาเซียน ทั้งของสิงค์โปร์ และมาเลเซีย ก็พัฒนาไปไกลแล้วเช่นกัน
ยิ้มสยามอย่างเดียวคงไม่เหมาะแล้วล่ะ