ยังสลัดคราบ ‘รัฐ’ ไม่หลุด
หนี้สินการบินไทย 354,494 ล้านบาท และทรัพย์สิน 349,636 ล้านบาท
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
หนี้สินการบินไทย 354,494 ล้านบาท และทรัพย์สิน 349,636 ล้านบาท
นั่นเป็นถ้อยใหญ่ใจความสำคัญในคำร้องยื่นศาลล้มละลายกลาง อันเป็นการแสดงฐานะหนี้สินล้นพ้นตัว เพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และศาลรับคำร้องไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา
นัดไต่สวนนัดแรกวันที่ 17 ส.ค.เดือนหน้า
การเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าว ทำให้หนี้สินที่มีทั้งหลายของการบินไทย ได้รับการคุ้มครองตามพ.ร.บ.ล้มละลาย และหนี้สินครบชำระจำนวน 10,200 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้รับการคุ้มครอง ไม่ต้องชำระด้วย
ในชั้นนี้ ก็ถือว่ามาถูกทางแล้วนะครับที่ 1) สลัดทิ้งฐานะรัฐวิสาหกิจการบินไทยให้เป็นเอกชนแบบที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นพิเศษ แต่ในอนาคตก็จะต้องมีการลดทุนและเพิ่มทุน ซึ่งยังไม่รู้ว่ากระทรวงการคลังจะมีความสามารถเพิ่มทุนตามสัดส่วนได้มากน้อยแค่ไหน
2) ไม่เช่นนั้น ก็จะต้องเดินแนวทางถมเงินตามดำริแรกของกระทรวงการคลัง ซึ่งเริ่มจากเติมสภาพคล่อง 50,000 ล้านบาทโดยการกู้ และเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 80,000 ล้านบาท ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าใครจะมาให้กู้ และใครจะมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ประการสำคัญที่สุดก็คือ จะเป็น “ถมเท่าไหร่ ไม่รู้จักเต็มหรือไม่”
แต่แนวทางการปลดฐานะการบินไทยออกจากรัฐวิสาหกิจ เพื่อเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการ ไม่ต้องไปรับความเสี่ยงจากภาวะ “ถมไม่เต็ม” เช่นที่ว่านั้น และพอจะหวังผลได้ถึงการปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น
สลัดอิทธิพลทั้งทางตรงทางแฝงที่เกาะกินองค์กรตลอดมา 60 ปีให้เบาบางลงไปได้ไม่มากก็น้อย
ครับ การบินไทยยังมีทรัพย์สินดีที่มีอนาคตในการฟื้นฟูกิจการได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ “THAI” ที่แข็งแรงในเรื่องของงานบริการ ความปลอดภัย และการมี “แบรนด์ รอยัลตี้” ที่แข็งแรงมากเช่นเดียวกันจากลูกค้าไทยและต่างชาติ แม้ราคาบัตรโดยสารจะสูงกว่าคู่แข่งสายการบินอื่น
แต่ก้าวเดินต่อจากนี้ของการบินไทย ต้องระมัดระวังในเรื่องของภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือให้มาก ๆ บนเส้นทางแห่งการฟื้นฟูกิจการนี้
ภาพลักษณ์อันพึงระวังมากที่สุดของการบินไทย ต่อจากนี้คือ การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู โดยปลอดจากอิทธิพลการเมืองและความเป็นรัฐราชการครับ
ในช่วงของการรอ “แผนฟื้นฟูกิจการ” และรอ “ผู้บริหารแผน” อยู่นี้ ภาครัฐไม่ควรจะจัดตั้ง “องค์กรใหม่” ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามระบุไว้ภายใต้พ.ร.บ.ล้มละลายเลย อย่างเช่นการที่รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาบริษัทการบินไทย ที่มีดร.วิษณุ เครืองามเป็นประธานและกรรมการครอบจักรวาลจากหน่วยราชการอย่างเนี้ย
ตั้งขึ้นมาทำไม เกี่ยวอะไรด้วยกับพ.ร.บ.ล้มละลาย หากไม่ทำคุณประโยชน์ใด ก็อาจกลายมาเป็นตัวถ่วง สร้างปัญหาให้การฟื้นฟูกิจการได้
คณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ 7 คน ที่ยื่นต่อศาลล้มละลายกลาง ก็ยังมีคำถามถึงตัวบุคคลอยู่ 2 คน คือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และพล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ประธานบอร์ดการบินไทย และประธานผู้ทำแผนฯ มีความเชี่ยวชาญทางใด
นอกจากนั้น ก็ยังมีนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ทำแผนและบอร์ดการบินไทยหมาด ๆ ก็ต้องยื่นใบลาออกฉุกเฉิน เพราะคุณสมบัติขัดกฎหมายป.ป.ช.ไม่อาจเข้ารับหน้าที่ได้ แสดงให้เห็นความหละหลวมในการแต่งตั้งบุคคลเป็นอย่างยิ่ง
บอร์ดการบินไทยชุดใหม่ ที่ยังมี “3 นายพล” ก็ยังมีคำถามอยู่ดีว่า จำเป็นต้องมีไหม มีความเป็น “มืออาชีพ” มากน้อยเพียงใด
การบินไทยยุคกอบกู้ ควรต้องเป็น “มืออาชีพ” เต็มตัว ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลกองทัพและรัฐ-ราชการเหมือนเช่น 60 ปีตลอดมา