บทเรียนหุ้นเบี้ยหัวแตก

ปรากฏการณ์ข่าวร้อนกระฉ่อนวงการอสังหาริมทรัพย์ว่าด้วยเรื่องบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ตระเตรียมการเทกโอเวอร์บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ทำให้หุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่เสมือน “หุ้นนอกสายตา” กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง.!


พลวัตปี 2020 : สุภชัย ปกป้อง

ปรากฏการณ์ข่าวร้อนกระฉ่อนวงการอสังหาริมทรัพย์ว่าด้วยเรื่องบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ตระเตรียมการเทกโอเวอร์บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ทำให้หุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่เสมือน “หุ้นนอกสายตา” กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง.!

จุดที่น่าสนใจของ LPN ทำให้มีโอกาสถูกเทกโอเวอร์แบบปรปักษ์ (hostile takeover) ได้แบบไม่ยากเย็นนัก ด้วยผู้ถือหุ้นที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของชัดเจน หรือ “หุ้นเบี้ยหัวแตก” นั่นเอง เห็นได้ชัดจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ล่าสุด ที่แต่ละรายถือหุ้นไม่เกิน 5% แม้กระทั่ง “กลุ่มเตชะไกรศรี” เองก็ตาม

แน่นอนว่า NOBLE ต้องการเข้ามาเทกโอเวอร์..อาจไม่จำเป็นต้องทำรายการบิ๊กล็อตจากผู้ถือหุ้นรายใดรายหนึ่ง แต่ใช้วิธีการเข้าเก็บหุ้น LPN ในกระดานเพียง 5-10% ก็ทำให้เป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งแล้วและไม่มีความจำเป็นต้องประกาศทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ (ทำคำเสนอซื้อ) ให้ต้องสูญเสียเงินลงทุนมากมาย

อีกนัยหนึ่งด้วยราคาหุ้น LPN ล่าสุด 5.70 บาท ถือว่ายังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ที่ 8.78 บาท หากต้องทำบิ๊กล็อตอาจต้องเทียบเคียงหรืออ้างอิงราคาบุ๊กแวลู ที่ดูแล้วทำให้ NOBLE ต้นทุนเพิ่มโดยไม่จำเป็น..และยิ่งสภาพคล่องหุ้น LPN ที่มีอยู่กว่า 91% การเข้าเก็บหุ้นในกระดานจึงเป็นทางเลือกที่ดีสุดช่วงเวลานี้.!

นี่ยังไม่รวม “มูลค่าเพิ่มแอบแฝง” ที่อยู่ในรูปกำไรสะสมกว่า 10,000 ล้านบาท และหากดูจากผู้ถือหุ้นใหญ่ NOBLE ตอนนี้ ยิ่งทำให้เห็น “ห่วงโซ่ทางธุรกิจ” ระหว่าง NOBLE-LPN โดยมีกลุ่ม BTS (ของคีรี กาญจนพาสน์) อยู่บนสุดของห่วงโซ่ดังกล่าวอย่างชัดเจน

เรื่องราว LPN คล้ายคลึงกรณีบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ที่เคยเกิดขึ้น เมื่อช่วงต้นปี 2555 ที่ผ่านมา โดยในอดีตเมื่อ 8 ปีก่อน หุ้น TTA มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเช่นเดียวกับ LPN ในปัจจุบัน นั่นคือ “ผู้ถือหุ้นเบี้ยหัวแตก” โดยผู้ถือหุ้นใหญ่สุดคือ NVDR ที่มีอยู่เพียง 3.84% และผู้ถือหุ้นรายใหญ่อื่น ๆ เฉลี่ยถือหุ้นรายละไม่เกิน 2%

ก่อนที่ “กลุ่มมหากิจศิริ” (ในนามอุษณา และเฉลิมชัย มหากิจศิริ ทายาทเจ้าพ่อกาแฟคือประยุทธ มหากิจศิริ) จะสบช่องไล่ซื้อหุ้นในกระดาน จนกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เบ็ดเสร็จ โดยไม่มีความจำเป็นต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น TTA แต่อย่างใด จุดที่น่าสนใจตอนนั้นคือ ราคาหุ้น TTA ในกระดานอยู่ที่ 20 บาท แต่มูลค่าทางบัญชี (บุ๊กแวลู) อยู่ที่ 36 บาท ทำให้ใช้เงินเพียง 2,000 ล้านบาทเท่านั้น

จุดนำสายตาไปสู่หุ้น TTA ของกลุ่มมหากิจศิริ เกิดขึ้นช่วงกลางปี 2554 หลังมีปรากฏการณ์ดราม่าเกิดขึ้นภายใน TTA โดยที่ปรากฏชื่อ บี เตชะอุบล ทายาทคนโตของสดาวุธ เตชะอุบล, วิจิตร สุพินิจ อดีตประธานก.ล.ต. และวีระ มานะคงตรีชีพ อดีตประธานเงินทุนหลักทรัพย์ซิทก้า ที่อ้างตนว่าเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้น TTA กว่า 30% ส่งคนเข้าเจรจากับ “หม่อมไอซ์” มล.จันทรจุฑา จันทรทัต (ซีอีโอใหญ่ TTA ในขณะนั้น) เพื่อเรียกร้องให้มีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารใหม่

แต่เมื่อเบื้องหลังเรื่องที่ว่าถูกเปิดเผยสู่สาธารณะโดย “หม่อมไอซ์” ที่ยืนยันจากการปิดสมุดบัญชีผู้ถือหุ้นว่า กลุ่มดังกล่าวถือหุ้นไม่ถึง 30% ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด..พร้อมเปิดคลิปลับการสนทนาต่อหน้าผู้สื่อข่าวไปพร้อม ๆ กันด้วย ทำให้ “ดราม่ายึดอำนาจ TTA” เงียบไป..ช่วงเวลาไม่นานนัก..!?

และนั่นเอง..ที่ทำให้ “ม้าแก่ชำนาญทาง” อย่างกลุ่มมหากิจศิริ เห็นช่องความเป็น “หุ้นเบี้ยหัวแตก” จนนำไปสู่การเข้าเทกโอเวอร์ TTA ในที่สุด..และไม่ว่าดีล NOBLE เทกโอวอร์ LPN จะเป็นจริงหรือจะสำเร็จหรือไม่.? แต่นั่นบ่งบอกให้รู้ว่า “หุ้นไร้เจ้าภาพ” มีความเสี่ยงถูกเทกโอเวอร์อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องตั้งโต๊ะทำเทนเดอร์แต่อย่างใด..

Back to top button