พาราสาวะถี
วันนี้เป็นวันแรกของการประเดิมมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 กิจการกิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายได้ทราบกันไปหมดแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่น่าสนใจของกรณีของโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดได้ภายใต้เงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด แต่คำถามคือ จะมีหนังอะไรมาฉายให้คนไปดู ถามว่าหนังบิ๊กเนมกล้าที่จะนำของดีมาปู้ยี่ปู้ยำในเวลานี้หรือไม่ เพราะต้นทุนในการทำกับผลลัพธ์ของรายได้หากนำมาฉายกันในเวลานี้ฟันธงได้ตรงกันขาดทุนย่อยยับ
อรชุน
วันนี้เป็นวันแรกของการประเดิมมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3 กิจการกิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายได้ทราบกันไปหมดแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่น่าสนใจของกรณีของโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดได้ภายใต้เงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด แต่คำถามคือ จะมีหนังอะไรมาฉายให้คนไปดู ถามว่าหนังบิ๊กเนมกล้าที่จะนำของดีมาปู้ยี่ปู้ยำในเวลานี้หรือไม่ เพราะต้นทุนในการทำกับผลลัพธ์ของรายได้หากนำมาฉายกันในเวลานี้ฟันธงได้ตรงกันขาดทุนย่อยยับ
คงอยู่ที่ผู้ประกอบการจะใช้อะไรมาดึงดูด จูงใจให้คนเข้าไปใช้บริการ ขณะที่ประชาชนก็คงชั่งใจกันหนักหน่อย แม้จะมีมาตรการเว้นระยะห่าง รวมทั้งการดูแลอย่างเข้มงวดของโรงหนัง แต่ด้วยความที่เป็นสถานที่ปิด ระบบระบายอากาศไม่รู้ว่าจะดีขนาดไหน ใครที่ต้องการไปผ่อนคลายก็ต้องป้องกันตัวเองเพื่อให้ปลอดภัยจากการรับเชื้อโควิด-19 กันอย่างหนัก เข้าใจ เห็นใจผู้ประกอบการและพนักงานที่รอกลับมา แต่ด้วยสภาพบรรยากาศและสถานการณ์แล้ว มองไม่ออกจริง ๆ ว่ามันจะใกล้เคียงกับชีวิตปกติเดิมอย่างไร
อีกเรื่องที่ผ่อนปรนเริ่มวันนี้เหมือนกันคือ การอนุญาตให้เดินทางข้ามจังหวัด ผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกหน คนที่มีความจำเป็นในการไปทำธุระ เดินทางกลับภูมิลำเนา ก็จะมีทางเลือกในการเดินทางกันมากขึ้น แต่ทั้งหมดก็อยู่ภายในการจัดระเบียบ เว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งก็ต้องรอดูว่าจะมีคนไปใช้บริการกันมากขนาดไหน และด้วยเงื่อนไขที่จำกัดรับคนได้จำนวนไม่เท่าเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเพิ่มภาระหรือแบ่งเบาภาระให้กับผู้ประกอบการกันแน่
แต่ไม่ว่าอย่างไร เป็นสิ่งที่ฝ่ายกุมอำนาจต้องเร่งเดินหน้า เมื่อต่างก็โพนทะนาโดยเฉพาะบรรดาส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจ พากันเชลียร์ สรรเสริญเยินยอความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา ควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยวิสัยทัศน์และความสามารถของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นหมายความว่า เมื่อต่างพากันการันตีว่า รัฐบาลประสบความสำเร็จในการควบคุมโรค ดังนั้น มาตรการผ่อนปรนจึงต้องขยายกิจการกิจกรรมกันเยอะขึ้น อีกอย่างคือไม่มีเหตุผลที่จะต้องรั้งการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ยืดยาวอีกต่อไป
ประเมินตามเงื่อนไขของการคลายล็อก ล็อตสุดท้ายเฟส 4 ต้องเกิดขึ้นภายในกลางเดือนนี้ นั่นเท่ากับว่า จะไม่มีกิจการกิจกรรมใดที่ถูกล็อกดาวน์อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ท่านผู้นำจึงตั้ง วิษณุ เครืองาม เป็นประธานหาคณะกรรมการมาศึกษาการบังคับใช้กฎหมายอื่นแทนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตามข้อเสนอของ พลเอกสมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสมช. โดยเห็นว่าหลังจากผ่อนปรนกันจนหมดแล้ว ก็ไม่น่าจะมีความจำเป็นที่ต้องใช้กฎหมายดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป
โดยมีปัจจัยเดียวที่จะรองรับความชอบธรรมให้กับรัฐบาลหากจะยังคงใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อ นั่นก็คือ ระหว่างการผ่อนปรนระยะที่ 3 หรือระยะที่ 4 เกิดการกลับมาระบาดอีกระลอกของโควิด-19 ซึ่งต้องเป็นจำนวนตัวเลขของการพบผู้ป่วยรายวันไม่น้อยกว่า 30 รายขึ้นไป จึงจะเป็นเหตุเป็นผลให้คงการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าสิ่งที่ทำกันมาตั้งแต่ต้นสูญเปล่า และเชื่อแน่ว่าฝ่ายกุมอำนาจคงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
อย่าลืมเป็นอันขาด โอกาสที่จะโควิด-19 จะกลับมาระบาดรอบสองนั้น ไม่ได้อยู่ที่การมีหรือไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากแต่เป็นเรื่องของความร่วมมือจากภาคประชาชนและการรณรงค์ต่อเนื่องของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับมาตรการในการป้องกันการแพร่และรับเชื้อ พูดง่าย ๆ ทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ประชาชนการ์ดตก โดยต้องสร้างให้ทุกคนตระหนักว่า แม้สถานการณ์จะดีขึ้นแต่ขอให้ปฏิบัติตัวเหมือนในช่วงที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคทุกคนจะอยู่ในความประมาทไม่ได้
ขณะที่การอภิปรายพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับตลอด 5 วันที่ผ่านมา ต้องยอมรับกันว่า ไม่ได้มีอะไรที่ฮือฮา หวือหวา ต่างฝ่ายต่างเล่นกันตามบท เดินตามเกมที่พรรคพวกตัวเองขีดเส้นไว้เสร็จสรรพ ฝ่ายค้านก็หาจุดตีในสิ่งที่รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการหรือเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการดูแลช่วยเหลือประชาชนในช่วงสถานการณ์ โดยเฉพาะกรณีเงินเยียวยา 5 พันบาท ขณะที่ส.ส.รัฐบาลก็หลับหูหลับตายกยอปอปั้นผู้มีอำนาจยิ่งท่านผู้นำกลับบ้านแทบไม่ต้องอาบน้ำเพราะตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำลายของพวกสอพลอ
ฟากของฝ่ายบริหารท่านผู้นำก็ย้ำแล้วย้ำอีกถึงความจำเป็นในการออกพ.ร.ก.กู้เงิน ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองคือ ก่อหนี้สาธารณะไม่เกินกรอบที่กฎหมายกำหนด จะใช้จ่ายบนวินัยการเงินการคลัง ทำทุกอย่างตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนบรรดารัฐมนตรีก็อาศัยจังหวะนี้แสดงผลงานว่าทำอะไรไปบ้าง สรุปแล้วก็ทุกคนทุกฝ่ายได้บรรลุในสิ่งที่ตัวเองตั้งเป้าเอาไว้ ส่วนประชาชนก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ ที่พูดกันไปยังไม่เห็นว่าคนส่วนใหญ่จะได้รับอานิสงส์ใดบ้างจากเม็ดเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทและ 9 แสนล้านบาทภายใต้การบริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่น่าสนใจคือ เรื่องข้อเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการใช้เงินกู้ดังกล่าว ไม่ว่าบทสรุปจะออกมาอย่างไร คำตอบของท่านผู้นำก่อนหน้าที่สภาจะลงมติคือโยนให้เป็นเรื่องของส.ส.รัฐบาลและฝ่ายค้านตัดสินใจ แต่บอกเป็นนัยว่า มีองค์กรอย่างสตง.และป.ป.ช.ที่จะตรวจสอบอยู่แล้ว ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามย้อนกลับไปว่า กว่าองค์กรดังว่าจะดำเนินการต้องใช้เวลานานเท่าใด มากไปกว่านั้นคือ ความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะคณะหลังวันนี้มีเหลืออยู่ขนาดไหน
ยิ่งไปบอกว่ามีคณะกรรมการชุดต่าง ๆ คอยตรวจสอบด้วยเหมือนกัน ยิ่งไปกันใหญ่ ในเมื่อคณะกรรมการดังว่าล้วนแต่เป็นคนที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นมา จะโดยมีรัฐมนตรีกระทรวงไหนหรือปลัดกระทรวงใดนั่งเป็นประธาน ในลักษณะไขว้กระทรวงกันตรวจสอบ จะไปเอาความน่าเชื่อถือมาจากไหน สุดท้าย จึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะผ่านการเลือกตั้งมาแล้วหรือไม่ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ยังไม่ชอบให้ใครโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายค้านมาตรวจสอบอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่ปากก็บอกว่าทุกอย่างโปร่งใส ไม่มีโกง แล้วกลัวอะไร