พาราสาวะถี

ผ่านพ้นไปเรียบร้อยโรงเรียนเผด็จการสืบทอดอำนาจ สำหรับพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเสียงของส.ส.ซีกรัฐบาลยกมือเห็นชอบ โดยที่ฝ่ายค้านงดออกเสียงในพ.ร.ก. 2 ฉบับและไม่เห็นด้วย 1 ฉบับคือพ.ร.ก.ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไปซื้อตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือพ.ร.ก.รักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ 2563 วงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท


อรชุน

ผ่านพ้นไปเรียบร้อยโรงเรียนเผด็จการสืบทอดอำนาจ สำหรับพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยเสียงของส.ส.ซีกรัฐบาลยกมือเห็นชอบ โดยที่ฝ่ายค้านงดออกเสียงในพ.ร.ก. 2 ฉบับและไม่เห็นด้วย 1 ฉบับคือพ.ร.ก.ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไปซื้อตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือพ.ร.ก.รักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ 2563 วงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท

เหตุผลของฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วยกับพ.ร.ก.ฉบับสุดท้ายนั้น เนื่องจากมองว่ากลุ่มเป้าหมายยังไม่ใช่ผู้เดือดร้อนที่จะต้องเร่งรีบในการออกพ.ร.ก.ไปช่วยเหลือ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่แม้จะได้รับผลกระทบเดือดร้อน แต่ยังมีเวลาในการช่วยเหลือรูปแบบอื่นซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ซึ่งประเด็นนี้คนในซีกรัฐบาลตั้งแต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนไปถึงผู้บริหารสำคัญในกระทรวงการคลังระดับข้าราชการที่ได้รับมอบหมายให้ไปชี้แจงต่อสภาต่างยืนยันกันว่า ไม่ได้เป็นการอุ้มคนรวยช่วยเจ้าสัว” แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม เรื่องการยกมือผ่านเป็นสิ่งที่รับรู้กันอยู่แล้ว แต่ที่หลายคนอยากเห็นคือ มาตรการในการตรวจสอบการใช้เงินกู้ที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังรับผิดชอบเต็ม ๆ จำนวน 1 ล้านล้านบาท หากจริงใจเพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสท่านผู้นำก็ต้องสั่งให้ส.ส.ซีกรัฐบาลไปจับมือกับฝ่ายค้านตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาตรวจสอบ โดยกำหนดกรอบให้เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย ไม่ใช่ท่องคาถาว่ามีหน่วยงานนั้น องค์กรนี้คอยตรวจสอบอยู่แล้ว

เพราะองค์กร หน่วยงานที่อ้างนั้น ต่างก็รู้ดีว่ามีความน่าเชื่อถือขนาดไหน ยิ่งความเห็นของ วิษณุ เครืองาม ที่บอกว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐหรือป.ป.ท.จะตั้งคณะทำงานมาตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ก้อนนี้ และรัฐบาลก็เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว ยิ่งเกิดคำถามหนักเข้าไปอีก ในเมื่อองค์กรแห่งนี้เป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นกรมขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี แล้วมันจะทำให้คนโดยทั่วไปเกิดความเชื่อมั่นได้อย่างไร

ไม่ต้องยกตัวอย่างผลงานที่ผ่านมาอย่างกรณี เงินทอนวัดและการทุจริตเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ เพราะอย่างแรกเป็นที่รู้กันว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ขณะที่กรณีหลังมันจนด้วยหลักฐานที่ถูกเด็กฝึกงานออกมาแฉ และเมื่อสแกนไปก็ไม่มีคนในรัฐบาลหรือฝ่ายกุมอำนาจเกี่ยวข้อง แต่กรณีของเงินกู้ดังว่ามันคนละเรื่องกัน มิหนำซ้ำ มีการปูดข้อมูลมาจากพรรคก้าวไกลว่า ก่อนยกมือผ่านพ.ร.ก.กันนั้น มีการพูดถึงกันเม็ดเงินให้ส.ส.ในพื้นที่รายละ 80 ล้านบาท ประเด็นนี้น่าสนใจและผู้มีอำนาจจะปล่อยผ่านไม่ได้

งบประมาณดังกล่าวแทนที่จะถูกนำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับถูกกันไว้ให้กับส.ส.แต่ละคน โดยข้อมูลระบุว่าเมื่องบประมาณลงสู่จังหวัดส.ส.ในพื้นที่สามารถเข้าไปกำหนดว่าจะนำเงิน 80 ล้านบาทไปใช้ในโครงการใดเรื่องนี้จะนำไปสู่การหักหัวคิว เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่ม ทั้งที่งบประมาณนี้สามารถนำไปสร้างความยั่งยืน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับประชาชนในท้องถิ่น แต่กลับเป็นโครงการที่สร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับนักการเมืองบางกลุ่มบางพรรคไปเสียอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สภายกมือผ่านกันไปแล้วคงทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแช่มชื่นหัวใจ จึงให้สัมภาษณ์กับสื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี โดยบอกว่าพร้อมที่จะให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบแต่เป็นเรื่องของสภาที่ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องไปตกลงกันเอง ซึ่งไม่ใช่กรณีเร่งด่วน แต่ก็ไม่วายดักคอ ไม่อยากให้การใช้เงินล่าช้าไม่ทันการณ์ โดยอ้างความเดือดร้อนของประชาชนที่กำลังรออยู่ ซึ่งความจริงน่าจะเป็นคนละเรื่องกัน

ปัญหาความอดอยาก ทุกข์ยากของประชาชนเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องไปหาทางแก้ไข ถ้ามีโครงการดี การใช้จ่ายเงินโปร่งใส ก็ดำเนินการได้ทันที การตั้งคณะกรรมาธิการจะไปติดตามตรวจสอบหลังจากที่มีการดำเนินโครงการไปแล้ว ไม่น่าจะทำให้เกิดความล่าช้าต่อกระบวนการบริหารงานของฝ่ายบริหารแต่อย่างใด บางทีก็ชอบอ้างเพื่อหวังดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามแบบตีมึน ซึ่งผู้สื่อข่าวก็ไม่ทันได้คิดตาม นี่แหละชั้นเชิงการเมืองที่คนที่อ้างว่าไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ แต่เล่นการเมืองทุกเม็ดทุกดอก

ด้วยความที่มุ่งแต่จะเล่นการเมืองกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามันนี่กระมัง เลยทำให้ไม่ได้ทันระวังหลังบ้านตัวเอง เวลานี้ความขัดแย้งแตกแยกภายในพรรคสืบทอดอำนาจจึงหนักหน่วงถึงขั้นแตกหัก การเดินเกมรุกไล่ของฝ่ายพี่ใหญ่เห็นได้ชัดว่าทำเอาฝ่ายตรงข้ามจนมุม หนีไม่ออก อันจับอาการได้ตั้งแต่ลูกไล่ของ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อย่าง วัชระ กรรณิการ์ ออกมาโพสต์ข้อความซัดกลุ่มสามมิตรด้วยท่วงทำนองที่หนักหน่วงรุนแรง

นั่นแสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารพรรคแกนนำรัฐบาลชุดปัจจุบันได้เพลี่ยงพล้ำให้แก่กลเกมของพี่ใหญ่เข้าให้แล้ว ในวันที่มีการโหวตพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับช่วงเช้าที่รัฐสภา ซึ่งมีการเรียกประชุมส.ส.ของพรรค จึงปรากฏว่ากลุ่มก้อนของ อุตตม สาวนายน และซีกของ ธรรมนัส พรหมเผ่า แยกวงไปคุยกันต่างหาก พร้อมกับข่าวปล่อยออกมาว่ามีระดับรัฐมนตรีและส.ส.ร่วมหารือกันถึง 60 คน ทั้งที่ข้อมูลอีกด้านบอกว่านับจำนวนแล้วมีแค่ 20 กว่าคนเท่านั้น

หลังจากประเมินขุมกำลังกันเรียบร้อย จึงตามมาด้วย 18 กรรมการบริหารพรรคยื่นใบลาออก ซึ่งเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของกรรมการบริหารพรรคที่มี เป็นผลให้ อุตตมและสนธิรัตน์ มีอันต้องร่วงจากเก้าอี้ทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมองข้ามช็อตกันต่อไปว่า นอกจากความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในพรรคสืบทอดอำนาจแล้ว ยังจะหมายถึงการปรับครม.ที่จะตามมาด้วย โดยกระแสแรงคือเขี่ย สามกุมาร” พ่วง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้พ้นทางไปด้วย ซึ่งก็สอดรับกับการบ่นเบื่อของเฮียกวงลั่นสภาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาพอดี

Back to top button