พาราสาวะถี

จับอาการอ่านสัญญาณจาก อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ตัดกลับไปที่คำพูดของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ท่องคาถา “ไม่รู้ ไม่มี” แถมตบท้ายด้วยวลีเด็ด “กลมเกลียวกันดี” มันช่างเป็นความรู้สึกที่แตกต่าง แสดงให้เห็นถึงพลังของคนที่ถือครองอำนาจอยู่จริง กับฝ่ายที่เริ่มต้นจากนอมินีแล้วคิดอ่านมองการณ์ไกล สุดท้ายต้องมาถูกหักหน้าอย่างไม่เหลือเยื่อใย อย่างที่บอกการบ่น “เบื่อ” ของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่ใช่คำพูดลอยลมแต่อย่างใด


อรชุน

จับอาการอ่านสัญญาณจาก อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ตัดกลับไปที่คำพูดของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ท่องคาถา ไม่รู้ ไม่มี แถมตบท้ายด้วยวลีเด็ด กลมเกลียวกันดี มันช่างเป็นความรู้สึกที่แตกต่าง แสดงให้เห็นถึงพลังของคนที่ถือครองอำนาจอยู่จริง กับฝ่ายที่เริ่มต้นจากนอมินีแล้วคิดอ่านมองการณ์ไกล สุดท้ายต้องมาถูกหักหน้าอย่างไม่เหลือเยื่อใย อย่างที่บอกการบ่น เบื่อ ของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่ใช่คำพูดลอยลมแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน หากจำกันได้ไม่กี่วันก่อนหน้า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งเรียกอุตตม-สนธิรัตน์ ไปคุยยืนยันไม่มีอะไรในกอไผ่ ผนวกกับท่าทีก่อนหน้าอย่าได้ไปยุ่งเรื่องทางการเมืองในห้วงเวลานี้ ขอให้ทุกคนตั้งเป้าไปที่การช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนและฟื้นฟูประเทศจากวิกฤติโควิด-19 เหมือนเบี่ยงเบนความสนใจ แต่เมื่อถึงวันที่กรรมการบริหารพรรคสืบทอดอำนาจไขก๊อกจริง สิ่งที่ได้ยินจากปากท่านผู้นำกลับเปลี่ยนไป เมื่อบอกว่าพรรคมีการตั้งกรรมการบริหารมานานคงอยากเปลี่ยนแปลง

เมื่อท่วงทำนองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพลิกผันขนาดนี้ ไม่ต้องสืบกันอีกต่อไปว่า หัวหน้าพรรคคนใหม่ของพรรคแกนนำรัฐบาลนั้นคือใคร การให้พี่ใหญ่ลุยการเมืองในพรรคและเป้าหมายคืองานในสภาแบบเต็มสูบ นั่นย่อมหมายถึง การเตรียมการใหญ่สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ในส่วนของผู้อกหักคงต้องพาตัวเองและพวกพ้องที่อยู่ในเครือข่ายไปตั้งพรรคกันใหม่ เพราะในแง่ของกระสุนนั้นไม่มีปัญหา อยู่ที่ว่าจะมีกำลังเพียงพอเพื่อต่อรองในทางการเมืองหรือไม่

ส่วนการปรับครม. การแบ่งรับแบ่งสู้ของท่านผู้นำ ก็อ่านได้ไม่ยากว่า ท้ายสุดคงหนีไม่พ้นเมื่อคนที่เคยรักและกระเตงกันมากว่า 6 ปี ออกอาการท้อและแสดงความเบื่อหน่าย ย่อมนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ขณะที่อีกด้านผลพวงจากความล้มเหลวในโครงการแจกเงิน 5 พันบาท ทั้งผู้นำหน้าแหกที่ไปประกาศว่ามีเงินจ่ายให้แค่เดือนเดียวและปัญหาสารพัดที่ตามมา จนถูกพวกเดียวกันด่าว่า ไม่มีที่ไหนในโลกที่แจกเงินแล้วโดนด่า นั่นแสดงให้เห็นว่าคนที่ทำงานด้านนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

เมื่อสถานการณ์เดินทางมาถึงตรงนี้ จึงหมายความว่าการปรับครม.ที่จะเกิดขึ้น ในส่วนของทีมเศรษฐกิจท่านผู้นำจำเป็นจะต้องดึงคนนอกเข้ามาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หวังเรียกคะแนนนิยมให้กลับคืนมา ขณะที่พอหัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจเป็นพี่ใหญ่ จากที่มองกันว่าพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์จะโดนหางเลขหนักหน่วงไปด้วยนั้น อาจจะพอคุยกันได้ แต่คงให้ได้ไม่เท่าเดิมเหมือนตอนต่อรองจัดรัฐบาลหลังเลือกตั้ง

ส่วนพวกที่ยิ้มหน้าบานย่อมหนีไม่พ้นกลุ่มมุ้งภายในพรรคสืบทอดอำนาจที่เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้พี่ใหญ่อย่างแข็งขัน กระทรวงที่เคยเป็นเป้าหมายก่อนหน้านี้น่าจะได้รับการจัดสรรให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว้นเสียแต่ในส่วนที่ท่านผู้นำขอสงวนสิทธิ์ไว้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้แก่รัฐบาลสืบทอดอำนาจ แต่การเมืองที่ผ่านพ้นช่วงฮันนีมูนไปแล้ว อำนาจที่เคยแข็งกร้าวก่อนหน้านั้นคงจะแข็งขืนเหมือนเดิมอีกไม่ได้ หากยังคงกระต่ายขาเดียวก็มีแต่พังกับพัง

อย่าลืมเป็นอันขาดหลังผ่านพ้นการพิจารณาร่างพ.ร.ก.กู้เงินไปแล้ว อีกไม่กี่อึดใจร่างพ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2564 ก็จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา นั่นหมายความว่า หากมองไปถึงการสร้างผลงานและเตรียมการเพื่อหวังผลเลือกตั้งครั้งต่อไป รัฐบาลสืบทอดอำนาจจะมีเม็ดเงินให้บริหารกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่ามหาศาลเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น การเลือกคนเพื่อเข้ามาร่วมรัฐนาวา นอกจากต้องเป็นที่ยอมรับแล้ว ยังต้องเก่งด้านการบริหารจัดการหว่านงบประมาณไปแล้วต้องหวังผลได้

ในส่วนของ..ที่รอรับส่วนบุญ แม้ทางพรรคก้าวไกลจะยอมรับว่าไร้หลักฐานเรื่องเงินกู้ถูกปันไว้ให้ส.ส.รายละ 80 ล้านบาท แต่ของพรรค์นี้ในสภาหินอ่อนย่อมรู้เส้นทางกันอยู่ เพียงแต่กรณีเงินกู้อาจจะหาเงินทอนได้ยากหน่อย เพราะต้องนำไปใช้แก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน หากมีการสนับสนุนเงินให้ส.ส.จริง ก็เป็นการให้นำไปสร้างผลงานหวังกล่องมากกว่าหาเศษหาเลย ต้องไปรองบประมาณปกติที่จะเห็นภาพของการต่อรองจัดสรรผลประโยชน์กันได้ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เรื่องพ.ร.ก.กู้เงินโดยเฉพาะวงเงิน 1 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลจะต้องบริหารนั้น ด้วยกระแสสังคมที่จับตามองกันอย่างใกล้ชิด จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายกุมอำนาจดิ้นไม่หลุด จากที่จะไม่ยอมให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบ โดยอ้างว่ามีองค์กรอื่นที่จะดูแลอยู่แล้ว ท้ายที่สุดก็ต้องใส่เกียร์ถอย เพราะงานนี้ไม่ได้มีแค่ฝ่ายค้านเท่านั้นที่เสนอญัตติ แต่เพื่อนร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ก็ชงเรื่องด้วย พร้อมกับการสนับสนุนจากส.ส.บางส่วนของภูมิใจไทย

อ่านเกมการถอยของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ไม่ยาก ดูได้จากส.ว.ลากตั้งที่เดิมทีจะไม่แตะพ.ร.ก.กู้เงินเป็นอันขาดโดยมีหน้าที่ยกมือผ่านเพียงอย่างเดียว ล่าสุด ก็กลับลำจะตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อมาตรวจสอบ (เป็นพิธี) ด้วย นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า สุดท้ายความพยายามที่จะไม่รับการตรวจสอบ ไม่ว่าจะด้วยลีลาและใช้ศรีธนญชัยหาช่องให้รอดอย่างไร ก็หนีไม่พ้น เช่นเดียวกับวิปรัฐบาลที่ยืนยันว่าไร้ปัญหาโดยอ้างว่าท่านผู้นำไฟเขียวมาแล้ว

เป็นปกติธรรมดาของการเมือง การเดินหน้าโดยไม่สนใจไม่แยแสเสียงทักท้วงใด ๆ นั้นย่อมมีโอกาสเจอทางตันเร็วกว่าที่คิด ตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้วกับพรรคการเมืองเสียงข้างมากชนะเลือกตั้งเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างไทยรักไทยแต่ก็ไปไม่รอด ที่มองกันว่าจะอยู่ยาวกลับไปเร็วกว่าที่คิด แม้ปัจจัยและแรงเสียดทานจะต่างกัน แต่ทางการเมืองแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ เช่นเดียวกับกรณีที่ว่าเพื่อไทยกับพลังประชารัฐจะเป็นศัตรูกันไปตลอดชาติเลยใช่ไหม ไม่มีใครกล้าการันตีเช่นนั้น

Back to top button