พาราสาวะถี

หยุดแค่วันเดียวคนแห่แหนไปเที่ยวบางแสนล้นทะลัก จนศบค.ต้องออกมาเตือนอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะจะทำให้ยากต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 มิหนำซ้ำ ยังอาจจะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อใหญ่ หรือ Super Spreader เห็นภาพเช่นนี้แล้ว จึงมีคำถามกลับไปที่ศบค.ว่าแล้วยังจะคิดให้มีวันหยุดชดเชยสงกรานต์ในเดือนกรกฎาคมนี้อีกต่อไปหรือไม่ ภาพที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย แต่คลื่นความอัดอั้นของประชาชนมันมากจนรับมือไม่ไหว


อรชุน

หยุดแค่วันเดียวคนแห่แหนไปเที่ยวบางแสนล้นทะลัก จนศบค.ต้องออกมาเตือนอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะจะทำให้ยากต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 มิหนำซ้ำ ยังอาจจะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อใหญ่ หรือ Super Spreader เห็นภาพเช่นนี้แล้ว จึงมีคำถามกลับไปที่ศบค.ว่าแล้วยังจะคิดให้มีวันหยุดชดเชยสงกรานต์ในเดือนกรกฎาคมนี้อีกต่อไปหรือไม่ ภาพที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย แต่คลื่นความอัดอั้นของประชาชนมันมากจนรับมือไม่ไหว

ความจริงเรื่องการเคลื่อนย้ายคนชุดใหญ่มีให้เห็นมาแล้วในช่วงวันหยุดยาวเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่หนนั้นเป็นการเดินทางกลับภูมิลำเนาไม่ใช่การแห่แหนไปท่องเที่ยวกันจุดเดียว จึงพอจะเบาใจได้ อย่างไรก็ตาม ฟังจาก นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.ชี้แจงต่อกรณีที่เกิดขึ้นแล้ว ความจริงไม่ได้มีปัญหาหากจะมีคนมาก แต่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม 5 มาตรการอย่างเคร่งครัดคือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้บ่อย ทำความสะอาดผิวสัมผัสต่าง ๆ และไม่อยู่กันแออัดในสถานที่หนึ่งที่ใด

อย่างที่บอกไปแล้วว่า มาตรการการควบคุมโควิด-19 ที่ประสบความสำเร็จนั้น เรื่องของการบังคับใช้กฎหมายอย่างพ.ร.ก.ฉุกเฉินและเคอร์ฟิว มีความจำเป็นแค่บางสถานการณ์และบางเรื่องเท่านั้น ผลสัมฤทธิ์ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น มันอยู่ที่ความร่วมมือของประชาชนล้วน ๆ หากทุกคนตระหนักถึงอันตรายของไวรัสร้าย และช่วยกันระวัง ป้องกันการรับและแพร่เชื้ออย่างเคร่งครัด ประเทศไทยก็จะประคองตัวในลักษณะเช่นนี้ต่อไป จนกว่าจะมีวัคซีนหรือยารักษาโดยตรง

ถึงตรงนี้ยังตอบไม่ได้ว่าสถานการณ์จะลากยาวไปนาน 1 ปีหรือ 2 ปี ยิ่งลากยาวไปนานเท่าไหร่ ก็เกรงว่าความขันแข็งในการร่วมมือป้องกันโรคของประชาชนจะกลายเป็นความย่อหย่อน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง ขณะที่อีกด้านความเดือดร้อนจากความอดอยาก หิวโหยของประชาชน คนเริ่มมีคำถามหมดเดือนมิถุนายนที่เงินเยียวยา 5 พันบาทไม่ได้จ่ายแล้ว รัฐบาลมีมาตรการอะไรมารองรับแล้วหรือยัง หากไม่ได้วางแผนก็น่าเป็นห่วง

แต่ดูเหมือนว่าในยามนี้ ท่านผู้นำน่าจะกำลังกุมขมับกับแรงกระเพื่อมที่ถูกสร้างมาจากนักการเมืองในคาถาเสียมากกว่า ใครจะไปคิดจู่ ๆ ก็เกิดการขยับเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในพรรคสืบทอดอำนาจ ทั้งที่ก็รู้กันอยู่เต็มอกว่า 3 หรือ 4 กุมารในสังกัด สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คือคนโปรดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ นี่คือสัจธรรมการเมือง เมื่อต้องเลือกความมั่นคงและเสถียรภาพแห่งอำนาจ คนที่เคยรักมักจะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกเชือดถ้าไร้ผลงานและทำให้เห็นว่าเป็นตัวถ่วง

หนนี้ก็เช่นเดียวกัน มาตรการแจกแหลก ลดกระหน่ำภายใต้การใช้กลไกทางการเงินและภาษีจากการชี้แนะของเฮียกวงและคณะนั้น ดูเหมือนเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด แต่ด้วยความไม่รอบคอบ และไม่วางแผนทำให้เกิดการรีบ จนกลายเป็นความเสียหาย มีที่ไหนที่แจกเงินแล้วโดนด่า จนพบว่าต้องมาตามล้างตามเช็ดกันจนถึงบัดนี้ ที่ล่าสุด มีการยืนยันมาจาก ประสงค์ พูนธเนศ ปลัดคลังว่า ยังเหลือคนที่ต้องแจกเงินในล็อตสุดท้ายอีก 9 ล้านคน โดยจะแจก 3 เดือนรายละ 1 พันถึง 5 พันบาท

คำถามที่ตามมาคือ เป็นล็อตสุดท้ายจริงหรือ ไม่มีใครออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่ หากมองในแง่ของการเก็บกวาด รับทุกเรื่องร้องเรียนจากที่เคยแข็งขืนให้ไปยื่นทางออนไลน์เท่านั้น ก็จะเห็นว่า ท่านผู้นำเป็นกังวลต่อเสียงของประชาชนที่ก่นด่าเป็นอย่างยิ่ง นี่คือความยาก หากไม่ปรับครม.สร้างความเชื่อมั่น แล้วเดินหน้ามาตรการที่ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้เห็นผล โอกาสที่จะเผชิญกับแรงกดดันอันเนื่องมาจากม็อบความเดือดร้อนก็มีอยู่สูงยิ่ง

ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นภายในพรรคพลังประชารัฐ หากมองเป็นปกติธรรมดาของการเมืองก็ใช่ เพื่อไทยและประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคการเมืองใหญ่ ย่อมรู้ดีว่ามีปัจจัยมาจากอะไร ดังนั้น ความเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการบริหารพรรคสืบทอดอำนาจ จึงไม่มีอะไรซับซ้อน แค่เกมการต่อรองโดยมีเก้าอี้ฝ่ายบริหารเป็นเครื่องตอบแทนหรืออาจเรียกได้ว่า เป็นของบรรณาการเพื่อยุติแรงกระเพื่อมที่จะนำไปสู่ความสั่นคลอนในเสถียรภาพของท่านผู้นำ

หากมองอย่างแยกส่วนแล้ว ต้องเข้าใจว่าสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นความขัดแย้งในแง่ของการแย่งผลประโยชน์ของนักการเมืองอาชีพที่มีกลุ่มก๊วนภายในพรรคสืบทอดอำนาจ โดยมีพี่ใหญ่เข้าไปเคลียร์ ที่แน่นอนว่า นักเลือกตั้งอาชีพนั้นต้องการอำนาจเพื่อเชิดหน้าชูตา ซึ่ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความเข้าใจและพอจะจัดสรรแบ่งปันกันได้ ขณะที่ผู้บริหารพรรคที่ถูกอัปเปหิซึ่งเป็นพวกเทคโนแครตไม่ได้ให้ราคากับข้อเรียกร้องของคนเหล่านี้

เมื่อมีการรับปากว่าจะจัดสรรปันส่วนกันอย่างเหมาะสม ทุกอย่างก็จบไม่ถึงขั้นพรรคแตก ส่วนที่มีข่าวว่าจะแยกไปตั้งพรรคใหม่ ถ้าประเมินจากความเจ็บช้ำที่ได้รับก็เป็นไปได้ แต่ก็เป็นการแตกตัวไปบนบริบทสนับสนุนขั้วอำนาจเดิม อย่าลืมเป็นอันขาดว่า แก๊ง 3 ป.นั้น เหนียวแน่นกันมาต่อเนื่อง เพราะขึ้นสู่เก้าอี้ผู้นำกองทัพด้วยปลายปากกาของคนที่แต่ละรายเรียกว่า นาย” ทั้งสิ้น แม้วันนี้บทบาทจะต่างกัน แต่สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นนั้นไม่มีวันสั่นคลอน

ด้วยเหตุนี้นักการเมืองที่พากันขยับจึงวางเป้าไว้แค่ได้ประโยชน์ที่หวังแล้วก็ต้องจบ ตราบใดที่รัฐธรรมนูญยังไม่มีการแก้ไข ส.ว.ลากตั้งยังมีอำนาจเลือกนายกฯ คนเหล่านี้ที่ไปสยบยอมอำนาจเผด็จการสืบทอดตั้งแต่ต้น ก็ต้องก้มหัวรับใช้กันต่อไป ส่วนโควตาคนนอกโดยเฉพาะคนที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ภายใต้รัฐบาลผสมหลายพรรคนั้น ยังมองไม่ออกว่าใครจะกล้ารับ ไม่เชื่อก็ต้องถามสมคิดดูลูกน้องได้กุมกระทรวงใหญ่แล้วมีความหมายอะไร เพราะหันซ้ายแลขวาแม้จะคุ้นหน้าคุ้นเคยกันแต่ก็เป็นคนละพวกคนละพรรค นี่แหละการเมืองที่แตกต่างระหว่างรัฐบาลเลือกตั้งกับรัฐบาลเผด็จการ

Back to top button