หุ้นขึ้นแรง VS การเมืองห่วย
*หากมองประวัติศาสตร์ “ตลาดหุ้น” กับความเละเทะของสถานการณ์ทาง “การเมือง” ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ค่อยอินกับประเด็นทางการเมืองสักเท่าไหร่ ? ส่งผลให้การเคลื่อนตัวของตลาดหุ้นมักตรงข้ามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับการเมืองบ่อยมาก (หุ้นชอบเด้งรับข่าวการเมืองด้านบวกมากกว่า) “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับมองเรื่องตรงนี้มากหน่อยเจ้าค่ะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*หากมองประวัติศาสตร์ “ตลาดหุ้น” กับความเละเทะของสถานการณ์ทาง “การเมือง” ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ค่อยอินกับประเด็นทางการเมืองสักเท่าไหร่ ? ส่งผลให้การเคลื่อนตัวของตลาดหุ้นมักตรงข้ามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับการเมืองบ่อยมาก (หุ้นชอบเด้งรับข่าวการเมืองด้านบวกมากกว่า) “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับมองเรื่องตรงนี้มากหน่อยเจ้าค่ะ
*เนื่องจากหลายคนเริ่มงงกับการทะยานขึ้นแรงของตลาดหุ้นทั่วโลก จนก่อให้เกิดคำถามตามหลังว่าวันนี้ควรดูตัวชี้วัดตรงไหน ? เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันยังมีหลายประเด็นที่คลุมเครือ หรือแม้กระทั่งผลงานของบริษัทต่าง ๆ ที่คาดเดาจะทำได้ดีขึ้นในไตรมาส 3 จะเป็นจริงแค่ไหน ? ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้ใครบางคนตกขบวนรถด่วนเที่ยวสำคัญเป็นจำนวนมากนะจะบอกให้
*ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้ “โมนิก้า” ต้องออกมาเล่าเรื่องราวที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ กับช่วงวันหยุดกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกคนได้เห็นผู้คนมากมายแห่แหนไปเที่ยวชายหาดบางแสนที่ชลบุรีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง จนทำให้การจราจรในตัวเมืองอัมพาตไปครึ่งค่อนวัน มันเป็นเรื่องที่ดีต่อใจของเดี๊ยนมาก ๆ แต่อาจไม่ถูกใจศูนย์บริหารงานโควิด-19 กระมัง!
*สาเหตุที่ทำให้ “โมนิก้า” มองประเด็นดังกล่าวในมุมบวกนั้นมาจากพฤติกรรมของผู้คนในประเทศพร้อมใช้เงิน ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้ธุรกิจการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกรอบ และยังช่วยทำให้ระบบการเงินในประเทศสะพัดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจห้างร้านที่เคยตกอยู่ในภาวะแห้งเหี่ยวเฉาตาย เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น..หรือพูดให้ง่ายก็คือ เงินกำลังจะหมุนไป (ชีวิตกลับคืนเป็นปกติได้เร็วเท่าไหร่ เม็ดเงินในระบบจะหมุนเร็วขึ้นเท่านั้น) พะยะค่ะ
*นั่นหมายความว่าประเทศไทยอยู่ในจุดที่ได้เปรียบกว่าหลายประเทศ โดยทั้งหมดเป็นผลมาจากทุกภาคส่วนร่วมมือต่อสู้กับไวรัสมรณะอย่างเต็มที่ “โมนิก้า” ถึงรู้สึกเฉย ๆ กับปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศและต่างประเทศ เพราะสุดท้ายก็เป็นเพียงเกมอำนาจที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะออกมาในรูปไหน ? จึงไม่ควรตื่นเต้นกับการปล่อยข่าวรายวันออกมาไม่หยุดหย่อนนะคะ
*โดยเฉพาะท่าทีของผู้นำโลกที่กลายเป็นที่เกลียดชังอย่าง “เฮียทรัมป์” น่าจะเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่ทำให้รู้ว่า “เศรษฐกิจ” กับ “การเมือง” มันเป็นคนละเรื่องกันเลย และสถานการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นแบบไม่สนใจเหตุการณ์ที่ผู้คนมากมายออกมาประท้วงผู้นำของเขาเอง “โมนิก้า” ถึงพยายามชี้ให้เห็นว่าเมื่อนักเล่นแยกภาพดังกล่าวออกจากกันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด การเคาะขวารัว ๆ ถึงเกิดขึ้นหลายวันติดต่อกันเจ้าค่ะ
*ยิ่งมองในมุมของความพยายามที่จะโค่นผู้นำเพี้ยนลงจากเก้าอี้ประธานาธิบดี ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายเหมือนกับที่คิดไว้ เพราะแนวความคิดที่เป็น “อเมริกันเฟิร์ส” ยังถูกฝังหัวกลุ่มคนที่เป็นอนุรักษนิยม ซึ่งคนกลุ่มนี้คิดเป็น 80% ของคนทั้งประเทศ แถมยังเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนผู้นำเพี้ยนอีกด้วย จึงกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เดี๊ยนมองว่าไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นในเร็ววัน และจำเป็นต้องชี้ให้ทุกคนเห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันนะจ๊ะ
*ที่สำคัญเมื่อมองถึงการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของมะกัน ตลาดหุ้นย่อมเป็นแหล่งลงทุนที่ได้รับผลดีเป็นลำดับแรกเสมอ “โมนิก้า” ถึงเข้าใจเหตุผลการทะยานขึ้นของตลาดหุ้นที่ต่าง ๆ มันเป็นเรื่องของมันนี่เกม และเรื่องนี้ก็ทำให้ทุกคนเชื่อกันเหลือเกินว่าไตรมาส 3 น่าจะดีขึ้น ผสานกับแนวคิดเดิม ๆ ที่ว่าด้วยเรื่องตลาดหุ้นมักวิ่งรับข่าวล่วงหน้า 3-6 เดือน ดัชนีเลยระเบิดระเบ้ออย่างที่เห็นนะตัวเอง
*คำถามคือ ภาพบรรยากาศแบบนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน ? หลังดัชนีไทยทะยานขึ้นมายืนปิดที่ 1,411.01 จุด บวกไป 36.83 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่มาถึง 1.22 แสนล้านบาท ท่ามกลางค่า P/E หุ้นไทย 20 เท่า “โมนิก้า” มองเป็นความเสี่ยงที่นักเล่นต้องวางระบบการเล่นให้คล่องตัวขึ้นกว่าเดิม เพราะนาทีนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาพะยะค่ะ