พาราสาวะถีอรชุน
ไม่รู้จะเรียกว่ามีความคืบหน้าหรือเปล่า จากการที่คณะทำงานซึ่งมี พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน มีมติว่า การถอดยศพันตำรวจโทของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นสามารถทำได้และเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยใช้ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติและไม่ต้องเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้
อรชุน
ไม่รู้จะเรียกว่ามีความคืบหน้าหรือเปล่า จากการที่คณะทำงานซึ่งมี พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน มีมติว่า การถอดยศพันตำรวจโทของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นสามารถทำได้และเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยใช้ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติและไม่ต้องเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้
ในประเด็นหลังนี้กลายเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกับคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมครม.ว่า ความจริงแล้วจะใช้อำนาจของหัวหน้าคณะรัฐประหารตามมาตรา 44 ถอดยศเลยก็ได้ แต่เหตุที่ไม่ดำเนินการ เพราะต้องการให้รับรู้กันเป็นวงกว้าง สังคมเลยสับสนไปใหญ่ว่า สรุปแล้วอยากจะให้รับรู้ เปิดเผยหรือไม่เปิดเผยกันแน่
เมื่อหวยออกมาแบบนี้ ภาระทั้งหมดก็ตกไปอยู่ที่ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ที่จะต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร เหมือนอย่างที่ พลตำรวจโทประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าไว้ จากมติที่ประชุมที่มีรัฐมนตรียุติธรรมเป็นประธาน บอกว่าที่ผ่านมามีการถอดยศตำรวจไปแล้วกว่า 660 นาย ดังนั้น รายของทักษิณจึงไม่มีข้อยกเว้น เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว
นั่นเพราะว่า คนที่ถูกถอดยศก่อนหน้าทั้งหมดนั้นล้วนแต่มีความผิดในสมัยที่มียศและตำแหน่งใต้ร่มเงาสีกากีทั้งสิ้น แต่รายของทักษิณเรื่องที่ถูกร้องเรียนเป็นการกระทำผิดหลังจากที่ได้ลาออกจากความเป็นตำรวจไปแล้ว หากมีการดำเนินการถอดยศก็จะถือว่าเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์วงการโล่เงิน ที่ถูกถอดยศหลังจากลาออกจากราชการไปแล้วและไม่ได้มีความผิดติดตัวในช่วงรับราชการ
คงเป็นเหมือนที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ว่าไว้ การไล่ล่าเร่งรีบถอดยศทักษิณเป็นการกระทำเพื่อความสะใจของคนบางกลุ่มเท่านั้น โดยที่ผบ.ตร.เองก็รู้ว่าทำไม่ได้ แต่ในนาทีนี้ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดว่าจะสั่งการอย่างไร ซึ่งฝ่ายคนแดนไกลเองคงไม่ได้อินังขังขอบต่อการถูกกระทำในครั้งนี้ เพราะมีหรือไม่มียศไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาอีกต่อไป
สัญญาณจาก พานทองแท้ ชินวัตร ที่บอกให้รีบดำเนินการหากทำให้บ้านเมืองดีขึ้น แล้วให้รัฐบาลเอาเวลาที่เหลือไปทำประโยชน์แก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน น่าจะชัดเจนที่สุด แน่นอนว่า การกระทำต่อตัวนายใหญ่นั้น มีบทเรียนมาให้เห็นแล้วเมื่อคราวรัฐประหาร 2549 จากผลการเลือกตั้งที่นำพาพรรคพลังประชาชนกลับมาเป็นรัฐบาลและได้ สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านั้นเกิดจากคะแนนสงสารที่มีต่อผู้ถูกกระทำ เรียกได้ว่า ยิ่งถูกเล่นงานเท่าไหร่ ยิ่งมีคนฝ่ายอำมาตย์สะใจมากขนาดไหน คะแนนนิยมอีกด้านก็จะย้อนกลับไปหาฝ่ายทักษิณเพิ่มมากขึ้น นี่คือเรื่องจริง ตามที่ลูกโอ๊คบอก คนที่นิยมชมชอบระบอบทักษิณมาจนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะยศพันตำรวจโท หากแต่เป็นนโยบายและสิ่งที่ได้ดำเนินการไป
ที่เรียกกันว่าประชานิยมนั่นแหละ หากแต่เป็นความนิยมที่ประชาชนคนรากหญ้าเห็นว่าสัมผัสจับต้องได้ โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคและกองทุนหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างหลังหากไม่ดีจริงรัฐบาลนี้คงไม่สานต่อ และอย่าลืมว่าการให้โอกาสประชาชนได้เข้าถึงสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลนั้นเป็นการเกาะกุมหัวใจคนรากหญ้าได้อย่างเหนียวแน่น อันจะเห็นได้ว่าบางพรรคการเมืองเข้ามาอุตส่าห์ปรับจาก 30 บาทเป็นรักษาฟรี ยังไม่ทำให้ชนะเลือกตั้งได้กลับมาเป็นรัฐบาล
นั่นเป็นเพราะว่า การลอกการบ้านที่ชื่อว่านโยบายการบริหารประเทศนั้นเป็นสิ่งที่น่าเกลียด บวกเข้ากับภาพดีแต่พูดคนเลยไม่ให้ความเชื่อถือ ซึ่งก็น่าจะเป็นบทเรียนให้บิ๊กตู่และชาวคณะได้นำไปทบทวน โครงการที่ดีๆ ของรัฐบาลในอดีตแม้จะบอกว่าไม่ได้ทำตาม แต่การต่อยอดเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดนั้น ทำไปเถอะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะชื่นชมสนับสนุนมากกว่าต่อต้าน
แต่งานที่ไม่สามารถทำตามหรือเลียนแบบกันได้เลยคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะอุปสรรคที่เจอมีมูลเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน ของอย่างนี้ต้องอาศัยฝีมือล้วนๆ ไม่ได้ดูถูกแต่เชื่อเลยว่า คนที่เป็นทหารอาชีพมาทั้งชีวิตรวมทั้งพวกที่เป็นข้าราชการมาจนเกษียณ ย่อมไม่อาจพลิกแพลงรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี เท่ากับคนที่เคยบริหารงานใหญ่ในภาคเอกชนมาก่อน
ด้วยเหตุนี้การปรับครม.ที่กำลังจะมีขึ้นจึงจำเป็นที่บิ๊กตู่ต้องเลิกใช้บริการอดีตข้าราชการรวมทั้งเพื่อนทหารบางรายเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ยืนยันมาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาแน่แต่เบื้องต้นที่ตกลงกันไว้กับผู้มีอำนาจคือจะนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยยังไม่ยืนยันว่าจะควบเก้าอี้รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจด้วยหรือไม่
ที่ตกปากรับคำกันอีกประการก็คือ สมคิดขอทีมเข้ามาช่วยบริหารในหลายกระทรวงจากเดิมทีที่บิ๊กตู่ตั้งเงื่อนไขขอแค่เจ้าตัวคนเดียว สุดท้ายเมื่อมองภาพใหญ่ที่กำลังเผชิญท่านผู้มีอำนาจเลยเซย์เยส โดยข่าวบอกว่ากระทรวงที่ทีมของสมคิดจะเข้าไปบริหารนอกเหนือจากคลังแล้ว ได้แก่ พาณิชย์ อุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การปรากฏชื่อของบุคคลต่างๆ ที่จะเข้ามา ถูกสยบข่าวโดยบิ๊กตู่ว่าไม่เป็นความจริง แต่หากย้อนกลับไปดูข่าวก่อนหน้านี้นำมาผนวกเข้ากับแต่ละกระทรวงที่ขอไป คนที่ปรากฏเป็นข่าวน่าจะเข้าเค้าและใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด โดยสูตรนี้ หมายความว่า พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ เจ้ากระทรวงพาณิชย์ต้องถูกโยก ค่อนข้างจะแน่นอนว่าจะไปคุมกระทรวงพลังงาน
ถ้าเป็นไปตามนี้นั่นหมายถึงทีมเศรษฐกิจของหม่อมอุ๋ยสูญพันธุ์กันยกชุด ขณะเดียวกันมีรายงานว่า พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีต่างประเทศที่เพิ่งไปบอกรักจีนในการประชุมที่มาเลเซียมา จะถูกปรับพ้นตำแหน่งไปด้วย โดยจะให้เข้าไปเป็นศูนย์อำนาจในคสช.
นี่คือโผตั้งต้นที่ดูแนวโน้มแล้วก็ไม่น่าจะผิดไปจากนี้ สิ่งสำคัญคือการขยับคงจะไม่ล่าช้าเกินต้นเดือนกันยายน เพราะจนถึงนาทีนี้จะเห็นได้ว่าข่าวร้ายด้านเศรษฐกิจกำลังกดดันรัฐบาลอย่างหนัก ยิ่งล่าสุดบิ๊กตู่ตอกย้ำว่าจะมีการปรับแบบยกแผงเลยยิ่งชัดเจนกันไปใหญ่ ถ้าเช่นนั้นคงไม่ต้องไปร้องขอให้นักข่าวหยุดเขียนเพราะกลัวรัฐมนตรีจะเสียกำลังใจกันอีกแล้ว
เนื่องจากจะโดนกันทุกคนเพียงแต่ว่าจะมีแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่โดนหนักกว่าเพื่อนคือปรับไปให้พ้นจากการร่วมครม. ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่สมควรดีใจมากกว่าเสียใจ เพราะมองแนวโน้มของสถานการณ์แล้ว ยังไม่เห็นสัญญาณบวกที่คนใหม่ซึ่งจะเข้ามาโดยเฉพาะสมคิดจะใส่ปุ๋ย พรวนดินอย่างไรเพื่อเร่งพลิกฟื้นให้ต้นไม้เศรษฐกิจที่เหี่ยวเฉากลับมาโตวันโตคืนได้เหมือนเดิม