พาราสาวะถี

ภาษาจิ๊กโก๋วงการพนันบอกว่าร้อยเอาขี้หมากองเดียว เชื่อขนมกินได้เลยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังไงก็ยืดอายุการบังคับใช้ออกไปอย่างแน่นอน ฟังที่ วิษณุ เครืองาม ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบาย ภาพมันชัดเจนอยู่แล้ว สำทับด้วยการแถลงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหลังประชุมครม.วันวาน ย้ำพ.ร.ก.ฉุกเฉินมีความจำเป็น โดย ยืนยันไม่ได้ใช้กฎหมายกดดันใคร หลายคนจ้องแต่เรื่องการเมือง ยืนยันตนไม่ได้จ้องเรื่องการเมือง ทำไมต้องเคลื่อนไหวกันตอนนี้ มันใช่เวลาหรือไม่


อรชุน

ภาษาจิ๊กโก๋วงการพนันบอกว่าร้อยเอาขี้หมากองเดียว เชื่อขนมกินได้เลยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังไงก็ยืดอายุการบังคับใช้ออกไปอย่างแน่นอน ฟังที่ วิษณุ เครืองาม ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบาย ภาพมันชัดเจนอยู่แล้ว สำทับด้วยการแถลงของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหลังประชุมครม.วันวาน ย้ำพ.ร.ก.ฉุกเฉินมีความจำเป็น โดย ยืนยันไม่ได้ใช้กฎหมายกดดันใคร หลายคนจ้องแต่เรื่องการเมือง ยืนยันตนไม่ได้จ้องเรื่องการเมือง ทำไมต้องเคลื่อนไหวกันตอนนี้ มันใช่เวลาหรือไม่

คำประกาศของท่านผู้นำแบบนั้นคนโดยทั่วไปคงไม่มีใครคิดอะไร เพราะมันไม่ใช่ปัญหา คนโดยทั่วไปไม่ได้อินังขังขอบกันอยู่แล้วว่า จะต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเพื่อเป้าหมายอะไร ขอแค่ให้อย่ามีปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับมาส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนเหมือนช่วงล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้ และทำให้ประชาชนกลับมามีกินมีใช้เหมือนเดิมก็พอแล้ว ส่วนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง การมีหรือไม่มีกฎหมายฉบับนี้มันทำได้อยู่แล้ว

ไม่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิ เสรีภาพถูกปิดกั้นหรือทำกันไม่ถนัด เห็นกันอยู่ว่าแม้ไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฝ่ายที่หาเหตุเอาผิด ก็ใช้กฎหมายอื่นมาเล่นงานกันอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ กฎหมายรักษาความสะอาดหรืออะไรก็สุดแท้แต่เพื่อที่จะทำให้เห็นว่า คนที่ดูแลกฎหมายและต้องรับใช้ฝ่ายกุมอำนาจนั้น ได้ดำเนินการเพื่อสกัดกั้นฝ่ายเห็นต่างไม่ให้เคลื่อนไหวกันได้อย่างถนัดถนี่อย่างเต็มที่เต็มกำลังแล้ว ส่วนปลายทางจะผิดหรือไม่ผิดค่อยไปว่ากันอีกที

นี่คือสภาพการเมืองนับตั้งแต่หลังการรัฐประหารของเผด็จการคสช. ดังนั้น การต่อหรือไม่ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงไม่ใช่สาระสำคัญในชีวิตของคนทั่วไป แต่ที่ทำให้รู้สึกสบายใจกว่าใครเพื่อนก็มีเพียง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น เพราะหลังจากไร้มาตรา 44 และอำนาจของรัฏฐาธิปัตย์แล้ว รู้สึกทำงานไม่ได้ ไปไม่เป็นอย่างบอกไม่ถูก หลังจากมีพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว รู้สึกได้ถึงความกระปรี้กระเปร่าในการทำงานอย่างเห็นได้ชัด นี่แหละคนที่ถนัดแต่สั่งซ้ายหันขวาหันมาตลอดชีวิต

เมื่องานในซีกบริหารทำท่าว่าจะลงตัว รอเพียงเวลาการเขย่าครม.เรือเหล็กเข้าสู่โหมดประยุทธ์ 2/2 การเมืองในพรรคสืบทอดอำนาจก็แต่งตัวรอเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เมื่อปรากฏภาพแกนนำผู้โค่นล้มทีมงานสี่กุมาร ไปส่งเทียบเชิญ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้มาเป็นหัวหน้าพรรค ไปกันพร้อมหน้าและจับมือแสดงความกลมเกลียวกัน ซึ่งภาพดังกล่าวนี้ก็พอที่จะฉายให้เห็นถึงแนวโน้มของครม.ที่จะมีการปรับเปลี่ยนกันอยู่บ้างว่าใครจะไปนั่งตรงไหน

เหลือเพียงแค่พี่ใหญ่ ที่จะต้องปรับจูนความคิด ความจริงไม่น่าจะเรียกอย่างนั้น เพราะทุกอย่างผ่านกระบวนการคิดและวางแผนไว้ทั้งหมดแล้ว ต้องบอกว่าเปลี่ยนท่าทีในการให้สัมภาษณ์ เลิกสับขาหลอกนักข่าวได้แล้ว เนื่องจากการให้สัมภาษณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย มันจะส่งผลต่อความเชื่อถือเชื่อมั่นของคนที่จะไปนั่งเก้าอี้สำคัญของว่าที่พรรคอันดับ 1 ของประเทศ (ฮา) ปฏิเสธหรือพูดไม่จริงหนสองหนคนก็ยังพอรับได้ แต่พูดโกหกบ่อย ๆ คนจะหมั่นไส้และกลายเป็นความไม่เชื่อถือไปเสียฉิบ

มีอย่างที่ไหนวันที่แกนนำพรรคไปส่งเทียบเชิญนักข่าวถามว่าจะรับหรือไม่ บอกหน้าตาเฉย ไม่รับ ๆ” คล้อยหลังยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง กับ 2-3 คำถามของนักข่าวคำตอบที่ได้มันชัดเสียยิ่งกว่าอะไร กับคำถามที่ว่าต้องรอประกาศรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอย่างเป็นทางการในการประชุมใหญ่สามัญของพรรคสืบทอดอำนาจในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ใช่หรือไม่ คำตอบที่ได้คือ ใช่ แล้วแต่สมาชิกพรรค ส่วนที่มีภาพแกนนำของพรรคจับมือกันก็เพื่อ ทำให้มีความกลมเกลียวกันไม่ได้หรือ ก็ดีแล้ว

ที่เด็ดสุดคงเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า นายกฯ ระบุพลเอกประวิตรต้องรับตำแหน่งเพราะมีความจำเป็น พี่ใหญ่บอกว่า “บางทีก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เราก็ต้องไปดู” ขณะที่ประเด็นจะเป็นหัวหน้าจนถึงเลือกตั้งครั้งหน้า หรือเป็นแค่ 6 เดือนตามที่เป็นข่าว ก็เป็นการช่วยยืนยันพี่ไม่ได้มาชั่วคราวแน่นอน ข่าวที่ไหน ไปถามคนปล่อยข่าว หมายความว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคยาวเลยใช่หรือไม่ ไม่รู้ ผมยังไม่รู้เรื่องเลย คนประเภทนี้ตอบแบบไหนให้แทงสวนได้เลย

เป็นอันว่าทุกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปเรียบร้อยสำหรับพรรคสืบทอดอำนาจ เหลือเพียงแค่การประกาศอย่างเป็นทางการของเจ้าของพรรคตัวจริงเสียงจริงในวันที่ 27 มิถุนายนนี้เท่านั้น เมื่อทุกอย่างสงบความพยายามที่จะเคลื่อนไหวใด ๆ ก็ต้องจบไปโดยปริยาย โดยเมื่อพิจารณาจาก 13 แกนนำที่ไปจับมือกับพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์แล้ว คงไร้กลุ่มที่จะก่อหวอด สร้างแรงกระเพื่อมภายในพรรคสืบทอดอำนาจอีก จะมีก็แต่พวกที่ต้องหลบลี้หนีหน้าไปเลียแผลใหญ่อย่างบอบช้ำ

ถือเป็นความปกติธรรมดาของการเมืองสามานย์ ยิ่งเป็นการเมืองของอำนาจสืบทอด อย่างไรก็ตาม หากอ่านเกมจากบทสัมภาษณ์ของ 3 ตัวแทนพรรคเล็กที่ดอดเข้าพบท่านผู้นำในทำเนียบรัฐบาล อันประกอบไปด้วย “เสี่ยติ่ง” สัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ จากพรรคพลเมืองไทย ระวี มาศฉมาดล จากพลังธรรมใหม่ และ สุรทิน พิจารณ์ ของพรรคประชาธิปไตยใหม่ ก็ถือเป็นสัญญาณหนึ่งว่า การปรับรอบนี้จะไม่ใช่การเขย่าแบบล็อตใหญ่ น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อสอดรับกับความเปลี่ยนไปของพรรคสืบทอดอำนาจกับรวมพลังประชาชาติไทยเท่านั้น

เนื่องจาก เสี่ยติ่งระบุชัด 11 พรรคเล็กไม่ขอรับตำแหน่งและต่อรองใด ๆ ในการปรับครม.ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งท่านผู้นำก็ใจดีน่าใจหายด้วยการรับปากว่า หากจะมีการปรับครม.ชุดใหญ่เมื่อไหร่ค่อยมาพูดคุยกัน แบบนี้ถือเป็นการดับฝันของ 2-3 พรรคเล็กที่พากันชู มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ไปโดยปริยาย ที่ต้องขีดเส้นใต้คือคำพูดของแกนนำพรรคเล็กรายนี้ที่บอกว่า จะรอโอกาสจากนายกฯ เพราะนักการเมืองก็อยากก้าวหน้าทั้งนั้น เวลาที่รอนั้นจะมาถึงหรือไม่ หรือถ้าถึงเวลาแล้วจะสมหวังกันหรือเปล่า ถึงเวลานั้นจะได้พิสูจน์ว่าการเมืองนิวนอร์มอลจริงหรือยังคงสามานย์เหมือนเดิม

Back to top button