วนเล่นตัวเดิม
*บรรยากาศของตลาดหุ้นไทยยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายความหวังเต็มอุรา จึงมีแรงซื้อเข้ามาเป็นระยะในหุ้นบางตัวตลอดทั้งวัน ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวลุ่ม ๆ ดอน ๆ ต่อไปไม่มีกำหนด เพราะอารมณ์ของนักเล่นแต่ละกลุ่มโอนอ่อนไปตามกระแสเสียเหลือเกินนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องปกติของนักลงทุนที่กำลังเงี่ยหูฟังข่าวดีใหม่ ๆ เข้ามาเสริมสร้างความมั่นใจในการเคาะขวารอบถัดไปไงล่ะคะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*บรรยากาศของตลาดหุ้นไทยยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายความหวังเต็มอุรา จึงมีแรงซื้อเข้ามาเป็นระยะในหุ้นบางตัวตลอดทั้งวัน ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวลุ่ม ๆ ดอน ๆ ต่อไปไม่มีกำหนด เพราะอารมณ์ของนักเล่นแต่ละกลุ่มโอนอ่อนไปตามกระแสเสียเหลือเกินนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องปกติของนักลงทุนที่กำลังเงี่ยหูฟังข่าวดีใหม่ ๆ เข้ามาเสริมสร้างความมั่นใจในการเคาะขวารอบถัดไปไงล่ะคะ
*ฉะนั้นอาการตกใจขายหุ้นทิ้งแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงที่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขส่งออกที่มีการหดตัวมากถึงระดับ 22.50% ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงสุดในรอบ 10 ปี 10 เดือน ย่อมเป็นการเขย่าประสาทนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับเข้าใจความเป็นไปของสถานการณ์ตรงนี้อีกนิดหนึ่งเจ้าค่ะ
*เนื่องจากการทรุดตัวของดัชนีลงมาปิดที่ 1,333.43 จุด ลบไป 23 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.08 หมื่นล้านบาท มันเป็นผลสะท้อนมาจากข่าวมุมลบที่ผุดขึ้นมาถี่ยิบในช่วงนี้ และมีแนวโน้มที่ดัชนีจะไหลลงอีกในอนาคต (หากข่าวร้ายยังออกมาต่อเนื่อง) แต่ในขณะเดียวกัน “โมนิก้า” ยังรู้สึกสบายใจได้อย่างหนึ่งคือ ตราบใดที่ดัชนียังประคองตัวเหนือแนวรับ 1,330 จุดต่อไปเรื่อย ๆ ก็มีสิทธิ์ดีดตัวขึ้นแรงอีกครั้งนะจะบอกให้
*เหมือนกับอาการกระชากขึ้นแรงของหุ้นกวงเจริญ KCE ล้วนมาจากความวิตกกังวลทางธุรกิจเริ่มคลายตัว ผสานกับบรรดากองทุนมีความหวังกับหุ้นตัวนี้มากขึ้น จึงกระโจนเข้ามาไล่ราคาแบบสุดติ่งกระดิ่งแมว จนราคาหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 21 บาท บวกไป 1.30 บาท หรือขึ้นไป 6.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.35 พันล้านบาท เดี๊ยนคงอธิบายเรื่องทั้งหมดได้เพียงแค่นี้ ส่วนเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร ? ค่อยว่ากันอีกทีนะจ๊ะ
*คล้ายกับการผงกหัวของแบงก์ตราดอกบัว BBL ท่ามกลางความกังวลหนี้เสียจะปูดหนักในไตรมาส 3 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 แต่ราคาหุ้นสามารถยืนปิดที่ระดับ 107.50 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 1.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.02 พันล้านบาท ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นแดงแป๊ด..แป๊ด “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นจุดที่บังคับให้นักเล่นต้องเข้าใจเกมหุ้นเที่ยวนี้มากขึ้นกว่าเดิม ว่ากองทุนหน้าตักเยอะ..ทำอะไรก็ได้..อิอิอิ
*ขนาดหุ้นเก๋าเกมอย่าง SAWAD งัดเอาปันผลบวกแจกวอร์แรนต์มาบิลต์อารมณ์ แต่ราคาหุ้นก็ไปได้แค่เพียงระดับ 52.50 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 0.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 990 ล้านบาท มันทำให้เดี๊ยนมั่นใจขึ้นไปอีกขั้นว่าหุ้นเสียทรงแล้ว! และหนทางเดียวที่จะทำให้หุ้นกลับมาได้สวย ๆ ก็จำเป็นต้องตั้งฐานให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นถึงจะเคาะขวายาว ๆ ได้อีกครั้งนะตัวเอง
*ส่วนรายที่กลับมาเฉิดฉายทั้งที่มีชนักติดหลังอย่าง GL ก็เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์สำหรับตัว “โมนิก้า” มากเหลือเกินในยามนี้ เพราะเมื่อเจาะดูเนื้อในของการทำธุรกิจ ก็ยังมีลักษณะกลวงโบ๋เหมือนเดิมทุกประการ เดี๊ยนเลยรู้สึกสับสนเมื่อเห็นหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ 4.14 บาท บวกไป 0.32 บาท หรือขึ้นไป 8.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 170 ล้านบาท เพราะไม่สามารถเอาอะไรมาคุยโม้ได้สักอย่าง…555
*เช่นเดียวกับหุ้นทำหนังทำละคร YGG กระชากขึ้นแรงต่อเนื่อง 4 วันติด ท่ามกลางข่าวกำไรโตแพร่กระจายไปทั่วแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่พูดยากจริง ๆ เพราะของมันเห็นกันทนโท่ว่าบริษัททั่วไปตัดงบโฆษณาเหี้ยน ผสานกับแผนทำหนังก็เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เดี๊ยนถึงสงสัยเหลือเกินว่าการขึ้นมาปิดที่ 8.25 บาท บวกไป 1.05 บาท หรือขึ้นไป 14.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 70 ล้านบาท โอเวอร์รีแอ็กต์ไปขนาดไหน ? (พี/อี 24 เท่า) ใครรู้ช่วยบอกทีนะคะ
*ขนาดในรายที่เห็นชัดผลงานปีนี้ดีแน่อย่าง INSET ยังทำได้ดีสุดแค่ยืนปิดที่ 2.98 บาท บวกไป 0.18 บาท หรือขึ้นไป 6.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 175 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเทรดบน P/E 12 เท่า “โมนิก้า” เลยมองเห็นความแตกต่างระหว่างรายข้างต้นกับรายนี้ชัดเจน จึงอยากให้แฟนคลับช่วยประเมินความคิดของเดี๊ยนตรงใจแค่ไหน ? เพื่อจะได้เลือกถูกว่า ควรเล่นตัวไหนมากกว่ากัน! หรือจะเล่นแบบแซนวิช ก็แล้วแต่คุณเจ้าค่ะ
*ป.ล.ยุทธการขายต่อเนื่องของนักเล่นที่เป็นฝรั่งหัวทองเที่ยวนี้ ทำให้รู้ว่าแนวทางการลงทุนยังเป็นลักษณะทำรอบเล่นสั้นเหมือนก่อนหน้านี้ทุกอย่าง จึงมีความเป็นไปได้ที่จะสาดหุ้นออกมาอีก และขึ้นอยู่กับว่าเที่ยวนี้กองทุนจะมีเงินบนหน้าตักเพื่อรับหุ้นเยอะขนาดไหนก็เท่านั้นเอง!