พาราสาวะถี
วันวานไปพูดในงานของธ.ก.ส. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกลูกดุด้วยวลีเด็ดมีหลายวรรคทองที่ต้องขีดเส้นใต้ ไม่ต้องถามเรื่องปรับครม.คนเก่าไป คนใหม่มา เก่าไม่ไปหรือคนใหม่ไม่มา ไม่ต้องพูด ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญ เพราะเรื่องสำคัญขณะนี้คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าเก่าจะอยู่ หรือใหม่จะมา ต้องเดินตามหลักการ คือต้องทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง สร้างงานให้คนไทย
อรชุน
วันวานไปพูดในงานของธ.ก.ส. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกลูกดุด้วยวลีเด็ดมีหลายวรรคทองที่ต้องขีดเส้นใต้ ไม่ต้องถามเรื่องปรับครม.คนเก่าไป คนใหม่มา เก่าไม่ไปหรือคนใหม่ไม่มา ไม่ต้องพูด ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญ เพราะเรื่องสำคัญขณะนี้คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าเก่าจะอยู่ หรือใหม่จะมา ต้องเดินตามหลักการ คือต้องทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง สร้างงานให้คนไทย
ที่เป็นไฮไลต์คงเป็นประโยคที่ว่า “ถ้าคนเก่าอยู่ แต่ทำงานไม่ได้ ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าคนใหม่จะมา แต่ทำงานไม่ได้ ทำไม่เป็น จะมาทำไม ถ้าจะอยู่แล้วขับเคลื่อนประเทศไม่ได้ ก็ไม่ต้องอยู่” แม้จะอ้างว่านี่คือหลักการบริหารประเทศ ก่อนจะตบท้ายเหมือนค้นพบสัจธรรมและยืนยันคำกล่าวที่เคยบอกก่อนหน้าว่า “เบื่อ” ด้วยคำพูดที่ว่า “เวลาเปลี่ยนไป รัฐมนตรีก็ต้องเปลี่ยนไป”
เพิ่งเข้าใจความเป็นจริงของโลกการเมืองอันโหดร้าย หรือไม่เคยคิดว่าจะถูกหักหาญน้ำใจกับคนที่อุตส่าห์ภักดีมาตลอดระยะเวลากว่า 6 ปี สารที่สื่อออกไปจึงไม่ใช่แค่การระบายเท่านั้น หากแต่เป็นเสียงสะท้อนไปยังใครบางคนที่กำลังจะเขย่าครม.ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าอย่างแน่นอน แต่ก็ยังมีปมที่คนอาจเห็นแย้งกับความเห็นของเฮียกวงนั่นก็คือ ที่บอกว่าต้องทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็งและสร้างงานให้คนไทย เพราะความจริงกี่ปีแล้วที่ท้องถิ่นยังไม่ได้เลือกตั้งและถูกส่วนกลางครอบงำ ชี้นำมาจนถึงวันนี้
เช่นเดียวกันกับที่บอกว่าต้องสร้างงานให้คนไทย ในขณะที่ตัวเองก็ยอมรับว่าสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีคนตกงานและกลับไปตั้งหลักกันที่บ้านถึง 2 ล้านคน มันสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง มิหนำซ้ำ ยังยอมรับอีกต่างหากว่า เรื่องการเยียวยา 5 พันที่ถูกด่านั้น เป็นเพราะกระทรวงการคลังไม่มีความพร้อมในแง่ของข้อมูล นี่ไง!บทพิสูจน์ของปุจฉาของใครหลายคนที่ว่า ตัวเลขเยียวยา 3 ล้านคนมาจากไหน ยกเมฆกันมาได้อย่างไร ตั้งท่าจะแจกแหลกแต่ไม่รอบคอบหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ“ชุ่ย” นั่นเอง
การถอดใจและยอมถอยแต่โดยดี ก็เท่ากับการยอมรับโดยดุษฎีว่า ดรีมทีมเศรษฐกิจของเผด็จการคสช.และเผด็จการสืบทอดอำนาจ ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ถูกค่อนขอดตลอดการครองอำนาจกับทีมเศรษฐกิจชุดนี้ก็คงจะอยู่ติดตัวกันตลอดไปนั่นก็คือ อุ้มคนรวยช่วยคนจนแค่นิดเดียว จะบอกว่าไม่ช่วยเลยก็คงไม่ใช่ แต่มันไม่ได้สร้างความยั่งยืนใด ๆ ตามที่ได้มีการโพนทะนากัน ที่เหลือก็รอดูว่าโฉมหน้าของครม.ประยุทธ์2/2 ออกมารูปแบบใด
เห็นอาการทดท้อของสมคิดแล้ว วันนี้เป็นวันสุนทรภู่กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก็นึกได้ว่ามีกลอนอยู่บทหนึ่งที่อยู่ในชุดเพลงยาวถวายโอวาทมันช่างเข้ากับท่วงทำนองที่อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลเผด็จการคสช.แสดงออกเวลานี้เสียจริง ๆ “อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย” ในความหมายนี้อาจจะเป็นการใช้ฟาดฟันศัตรูคู่อาฆาต แต่กับเฮียกวงแล้วคือการหันมาฟาดฟันคนที่เคยเป็นมิตรมาก่อนแล้วผลักไสให้ไปเป็นศัตรู
ยิ่งถอดรหัสจากความหมายของบทกลอนดังว่า มันก็ยิ่งทำให้น่าเจ็บใจ ความคิดของคนเปรียบเสมือนอาวุธอันแสนประเสริฐ แต่คนเก่งที่แท้จะไม่ใช้อาวุธนั้นทำร้ายผู้อื่น เว้นแต่โดนบีบบังคับด้วยสถานการณ์ถึงขีดสุดให้ต้องใช้อาวุธอันประเสริฐนั้น เพราะที่ผ่านมาบรรดาเทคโนแครตทั้งหลายที่อยู่รายล้อมรอบตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ มีสมองที่เป็นเลิศ มีความเก่งกาจที่ยากจะหาใครเหมือน แต่เลือกที่จะไปเชลียร์มากกว่าเสนอสิ่งที่ควรจะทำบนโลกแห่งความเป็นจริง ผลที่ออกมาจึงอย่างที่เห็น
แต่หากไม่ได้เป็นไปตามนี้คือบางคนไม่ใช่ของจริงแค่พวกก๊อปเกรดเอนั่นก็อีกเรื่อง ต้องถือเป็นความซวยของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเอง ที่ไปหลงเชื่อและถูกหลอกมาจนถึงเวลานี้ แต่เท่าที่ดูการเดินเกมทางการเมืองแล้ว คงไม่ได้อินังขังขอบต่อเสียงรอบข้างแต่อย่างใด เพราะเป้าหมายของ 3 ป.เวลานี้คือการอยู่ต่อในอำนาจให้ยาวนานที่สุด เห็นได้จากการวางกลยุทธ์เดินเกมการเมือง 3 ขาอย่างมั่นคง
ตามที่ได้บอกไปก่อนหน้าการที่พี่ใหญ่กระโดดเข้ามากุมบังเหียนในพรรคสืบทอดอำนาจด้วยตัวเอง ก็เห็นภาพชัด ไม่ใช่การมาแบบชั่วคราว เพราะนี่คือการมาสร้างพรรคการเมืองเดินเกมในสภากันอย่างเต็มที่ บารมีไม่ต้องพูดถึง กระสุนเสบียงยิ่งไปกันใหญ่ ที่เหลือคือจะสร้างพรรคอย่างไรให้ก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์ 1 พลังดูดที่เคยใช้ก่อนหน้ายังไม่เพียงพอที่จะก้าวไปคว้าชัยในสนามเลือกตั้ง ก็ต้องเพิ่มออปชัน เติมกลยุทธ์ล่อใจกันเข้าไปอีกชุดใหญ่
ถ้ารัฐบาลสืบทอดอำนาจไม่พ่ายแพ้จากความเดือดร้อนของประชาชนไปเสียก่อน การเลือกตั้งครั้งใหม่เราจะได้เห็นองคาพยพของพรรคสืบทอดอำนาจที่น่ากลัวขึ้น และบางพรรคการเมืองอาจจะระส่ำระสาย เพื่อไทยหนีไม่พ้นแน่แต่คงไม่ถึงขั้นวิกฤติที่น่าห่วงคือประชาธิปัตย์ เพราะความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็เกิดจากพลังดูดของพรรคแกนนำรัฐบาลนั่นเอง เมื่อพรรคการเมืองเข้มแข็งแล้ว งานมวลชนก็มีน้องรองดูแลมาตั้งแต่ยึดอำนาจแล้ว
ในฐานะที่คุมกระทรวงมหาดไทย ไม่ต้องถามถึงว่ากลไกในงานด้านมวลชนเพื่อกุมความได้เปรียบนั้น ทำกันอย่างไร ส่วนน้องเล็กก็นั่งบริหารอำนาจให้สบายใจ ต่อสาย สร้างคอนเนคชั่น จัดสรรปันส่วนผลประโยชน์ให้ทั้งฝ่ายกุมขุมกำลัง รวมทั้งภาคเอกชนขาใหญ่ทั้งหลาย เมื่อพวกเสียงดังไม่ขยับเสียแล้ว เสถียรภาพของรัฐบาลย่อมแน่นปึ้ก มิหนำซ้ำ ยังมีส.ว.ลากตั้งคอยค้ำยันและมีกฎหมายสืบทอดอำนาจเป็นเกราะป้องกันใครก็ทำอะไรไม่ได้
การยอมหักไม่ยอมงอต่อก๊วนสี่กุมารทั้งที่เป็นลูกรัก ย่อมผ่านการดีดลูกคิดมาแล้วว่าคุ้มค่าหรือสูญเปล่า เอาเข้าจริงสิ่งที่ได้ร่วมกันทำก็ถือว่ามาไกลเกินคุ้มแล้ว หากยังไม่ถอดใจเลิกเดินบนถนนสายการเมือง ไปตั้งพรรคใหม่แล้วได้ส.ส.กลับมา 4-5 คนก็ยังมีโอกาสที่จะได้กลับมาร่วมงานกันอีก เพราะการเมืองไทยไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ยิ่งเป็นพวกสนับสนุนขบวนการสืบทอดอำนาจอย่างออกนอกหน้าด้วยแล้วคงจะไปเข้าพวกกับอีกฝั่งได้ยาก อยู่ที่ว่าจะช่วยภาวนาให้ท่านผู้นำผ่านวิกฤติที่กำลังเผชิญไปให้ได้หรือจะแช่งชักหักกระดูกกันนั่นก็อีกเรื่อง