เงินกำลังจะหมุนไป
*หากมองเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับดัชนีดาวโจนส์เป็นที่ตั้งหลัก “โมนิก้า” บอกได้ทันทีว่ารูปแบบการขึ้นลงของดัชนีดังกล่าวอ้างอิงกับตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของอเมริกาทั้งนั้น จึงทำให้ดัชนีพุ่งจากระดับ 19,000 จุดเมื่อปลายเดือน มี.ค. ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 28,000 จุดในช่วงกลางเดือน มิ.ย. ก่อนจะย่อตัวลงมาแกว่งตัวที่บริเวณ 25,000 จุดพักใหญ่ ๆ มันเป็นสถานการณ์ที่ทำให้รู้ว่านักลงทุนมีความคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงนะคะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*หากมองเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับดัชนีดาวโจนส์เป็นที่ตั้งหลัก “โมนิก้า” บอกได้ทันทีว่ารูปแบบการขึ้นลงของดัชนีดังกล่าวอ้างอิงกับตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของอเมริกาทั้งนั้น จึงทำให้ดัชนีพุ่งจากระดับ 19,000 จุดเมื่อปลายเดือน มี.ค. ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 28,000 จุดในช่วงกลางเดือน มิ.ย. ก่อนจะย่อตัวลงมาแกว่งตัวที่บริเวณ 25,000 จุดพักใหญ่ ๆ มันเป็นสถานการณ์ที่ทำให้รู้ว่านักลงทุนมีความคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงนะคะ
*ตรงนี้เป็นสถานการณ์ที่ทำให้เชื่อว่าระบบเศรษฐกิจโลกจะถูกขับเคลื่อนด้วยยุทธการอัดเม็ดเงินก้อนใหม่เข้าสู่ระบบมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากดัชนีทำสัญญาขายบ้านในอเมริกาพุ่งขึ้น หรือแม้กระทั่งตัวเลขการจัดซื้อของประเทศจีน ก็อยู่ในข่ายพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน “โมนิก้า” ถึงมองเรื่องต่าง ๆ ในมุมบวกมากกว่ามุมลบ เพราะตัวแปรหลายอย่างทำให้เชื่อว่าทุกอย่างกำลังดีขึ้นไงล่ะคะ
*น่าเสียดายที่ทีมเศรษฐกิจของประเทศไทยมัวแต่เล่นเกมแย่งชามข้าวหมา แถมบางคนยังพยายามยื้ออำนาจให้อยู่กับตัวเองต่อไป หรือแม้กระทั่งมือไม่ถึงแต่ดันเสนอหน้าขึ้นมาเป็นแถวหนึ่ง ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ “โมนิก้า” จึงขอแนะนำให้ท่านทั้งหลายหันมาสนใจส่วนรวมกันมากขึ้น และหันมาดูวิธีที่ทำให้ระบบเงินหมุนเร็วขึ้น เขาทำกันอย่างไรพะย่ะค่ะ
*ด้วยเหตุนี้เลยไม่อยากให้แฟนคลับดีใจกับการทะยานขึ้นของดัชนีมาปิดที่ 1,339.03 จุด บวกไป 9.27 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.86 หมื่นล้านบาทมากเกินไป เพราะยังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจนมากกว่าที่เป็นอยู่เลยสักอย่าง บวกกับเรื่องราวที่เห็นมีแต่ข่าวคลุมเครือ “โมนิก้า” ถึงมองไม่ออกเหมือนกันว่าหากดัชนีขึ้นไปถึงระดับ 1,400 จุดจะเป็นอย่างไร ? ในเมื่อผู้มีอำนาจกระตุ้นเศรษฐกิจยังงมโข่งกันอยู่เลยนะจ๊ะ
*เหมือนกับในรายของสายการบินสีแดง AAV เด้งขึ้นมาปิดที่ระดับ 1.99 บาท บวกไป 0.16 บาท หรือขึ้นไป 8.74% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 375.64 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของจิตวิทยามากกว่าพื้นฐาน เพราะการปลดล็อกเฟส 5 ที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้น่าจะช่วยส่งเสริมการเดินทางมากขึ้น ผนวกกับตัวสายการบินอัดโปรโมชั่นบินแบบบุฟเฟต์ ขณะที่เรื่องจริงต้องแบกรับผลขาดทุนขนาดไหน ? ไม่มีใครอยากจะพูดถึง..คุณแม่ขอร้อง!
*ส่วนหุ้นที่จัดจ้านสุดในห้วงเวลานี้ ไม่มีใครเกินหน้าไปกว่านายหน้าขายประกัน TQM หลังประกาศศักดาด้วยการโชว์พาวเวอร์ทำ all time high เป็นว่าเล่น ขณะเดียวกันก็สร้างความกังขาให้กับผู้จัดการกองทุนบางแห่ง “โมนิก้า” เลยไม่กล้าเชียร์ให้เล่นตามน้ำไปเลย เพราะเมื่อเหลือบดูค่า P/E 70 เท่าในภาวะแบบนี้ แถมล่าสุดหุ้นเริ่มกลับตัวลงมาปิดที่ 133.50 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 1.11% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 414.57 ล้านบาท สัญญาณกลับตัวเริ่มมาให้เห็นแล้วสิ!
*ตรงกันข้ามกับในรายของหุ้นห้องเย็น ASIAN อย่างสิ้นเชิง เพราะรายนี้มีข้อมูลสถิติย้อนหลังให้ดูง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานเก่าปีก่อนอยู่แถว 8 บาท ผสานกับกำไรต่อหุ้นในยามปกติก็อยู่แถว 0.80 บาท หรือแม้กระทั่งผลงานไตรมาส 1 ปี 2563 ก็ออกมาดีตามคาด “โมนิก้า” เลยไม่มีความกังวลใจหากราคาหุ้นได้ไปต่อ เพราะราคาปิดที่ 7.65 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 5.52% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 675.58 ล้านบาท อยู่ในวิสัยที่รับได้เจ้าค่ะ
*คล้ายกับสถานการณ์ของหุ้น RBF ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารหลากหลายประเภท ย่อมอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่าบางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ ผนวกกับพาร์ตเนอร์ญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจขนมเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม ย่อมเล็งเห็นถึงพลังผนึกจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน “โมนิก้า” ถึงไม่วอร์รี่กับการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 8.35 บาท ทรงตัวจากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 532.73 ล้านบาท เพราะมันเห็นชัดทั้งปีว่ากำไรโตกว่าปีก่อนชัวร์ป้าบ!
*เหมือนกับในรายของหุ้นทำหนัง YGG ยังคงเดินหน้าขึ้นไปได้เรื่อย ๆ พร้อมกับทำ all time high ก็เป็นเรื่องที่นักเล่นต้องแบกรับความเสี่ยงกันเอาเอง เพราะเดี๊ยนได้บอกเล่าเรื่องราวที่ถูกตั้งเป็นข้อสังเกตครบถ้วนกระบวนการ จึงขอไม่แสดงความเห็นต่อการขึ้นมาปิดที่ 10 บาท บวกไป 0.90 บาท หรือขึ้นไป 9.89% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 307.18 ล้านบาท เพราะเม้าท์ไปก็คงไม่มีใครฟังอยู่ดี หลังอารมณ์นักเก็งกำไรสิงเต็มตัวน่ะซี