พาราสาวะถี
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งปิดกั้นยิ่งท้าทาย โดยเฉพาะกับคนที่ชัดเจนในเรื่องจุดยืนและความรู้ ความสามารถ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะหวนคืนสู่สภาอีกครั้งในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองซึ่งได้รับเสียงชื่นชมในช่วงของการอภิปรายร่างกฎหมายดังกล่าวในช่วง 3 วันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมคะแนนนิยมที่ซูเปอร์โพลสำรวจแล้วพบว่าพุ่งพรวดพราด จนเป็นที่หงุดหงิดหัวใจของฝ่ายกุมอำนาจ
อรชุน
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งปิดกั้นยิ่งท้าทาย โดยเฉพาะกับคนที่ชัดเจนในเรื่องจุดยืนและความรู้ ความสามารถ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะหวนคืนสู่สภาอีกครั้งในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองซึ่งได้รับเสียงชื่นชมในช่วงของการอภิปรายร่างกฎหมายดังกล่าวในช่วง 3 วันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมคะแนนนิยมที่ซูเปอร์โพลสำรวจแล้วพบว่าพุ่งพรวดพราด จนเป็นที่หงุดหงิดหัวใจของฝ่ายกุมอำนาจ
อย่างที่รู้กันตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ถูกเล่นงานจากขบวนการเครือข่ายอำนาจทำให้สุดท้ายพรรคถูกยุบ มีเสือหิวเสือโหยโบยบินไปหาที่ซุกหัวใหม่ ส่วนคนที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ก็จับมือกันไปก้าวเดินต่อในนามพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เพียงแค่การเสนอชื่อธนาธรให้มาเป็นกรรมาธิการเท่านั้น การอภิปรายวันสุดท้ายก็เกิดการปะทะคารมกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างดุเดือดถึงขั้นที่ท่านผู้นำขู่ว่า “ให้ระวังตัวกันบ้าง” แม้จะออกลูกติ๊ดชึ่งว่าไม่ได้ข่มขู่แค่บอกให้ดูเรื่องของข้อกฎหมาย
แต่ในฐานะผู้ชายอกสามศอกแล้วมีเรื่องกับส.ส.หญิงถึงสองคน โดยที่ไม่ยอมเผชิญหน้าตอบคำถามด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านแล้วสะบัดตูดออกจากห้องประชุมไป เท่านี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า สุดยอดท่านผู้นำนั้นเปลี่ยนแปลงนิสัยตัวเองไปแล้วหรือยัง และยอมรับกระบวนการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่ การหยิบยกกฎหมายมาอ้าง ทั้งที่ก็รู้กันอยู่ว่าตลอดระยะเวลาที่คณะเผด็จการครองอำนาจมานั้น การยกร่างกฎหมายที่เอื้อต่อขบวนการสืบทอดอำนาจนั้น ประชาชนได้มีส่วนร่วมหรือไม่
คงไม่ต้องอรรถาธิบายกันให้เมื่อยตุ้ม หากไม่มืดบอดหรือเชียร์กันแบบไม่ลืมหูลืมตา ย่อมรู้ดีกันว่า องคาพยพที่เกี่ยวข้องทั้งหลายนั้นวางตัวและปฏิบัติตัวกันอย่างไร น่าสนใจต่อการเข้ามาเป็นกรรมาธิการวิสามัญของธนาธร จะได้ร่วมพิจารณาร่างงบประมาณฉบับนี้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เชื่อได้ว่า จะต้องมีพวกรับใช้อำนาจเผด็จการ หาเหตุเพื่อทำให้เห็นว่าคนที่ถูกศาลสั่งให้เว้นวรรคทางการเมือง 10 ปีนั้นสมควรที่จะเข้ามามีบทบาทตรงนี้ได้หรือไม่
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า การมีบรรดาคนหัวหมอประเภทศรีธนญชัยเรียกพี่เรียกพ่อรายล้อมผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น คนเหล่านี้จะคอยแต่แสวงหาแง่มุมเพื่อเล่นงานฝ่ายที่เห็นต่าง โดยมีองค์กรที่คอยรับลูกกันเป็นทอด ๆ ไม่ต้องมาอ้างว่าทุกอย่างดำเนินการไปตามขั้นตอน เพราะการตีความหาได้มีบรรทัดฐานอันเป็นที่ยึดโยง เชื่อถือได้ นี่แหละคือความหน้าหนาของคณะเผด็จการและบรรดาลิ่วล้อที่สอพลอ ก็ต้องดูว่าคนในประเทศจะทนต่อความโสมมสามานย์เหล่านี้ได้นานกันขนาดไหน
กลายเป็นความท้าทายสำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นอย่างยิ่ง ต่อการนิ่งเฉยไม่แยแสต่อข้อเรียกร้องให้มีการปรับครม.เพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤติจากโควิด-19 ที่แทบไม่ต้องทำนายก็รู้กันได้ว่าหนักหน่วงรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ปรับแล้วเลือกใช้บริการ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พร้อมทีมงาน 4 กุมารกันต่อไป น่าสนใจว่า ทิศทางที่พากันเดินต่อไปนั้นเป็นการเดินไปสู่แสงสว่างหรือพากันลงหุบเหว หรือท้ายที่สุดคือบรรลุเป้าประสงค์ส่วนตัวและพวกพ้องที่เหลือจะเป็นยังไงช่างหัวมัน
อยู่ที่บรรดานักการเมืองในพรรคสืบทอดอำนาจ จากที่วาดหวังกันไว้ก่อนหน้า ระดับนำจะได้รับการปูนบำเหน็จเก้าอี้เสนาบดี หลังจากช่วยกันออกแรงผลักดันให้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก้าวมาเป็นหัวหน้าพรรคอย่างที่ควรจะเป็นได้แล้ว แต่มันเริ่มมีแววเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่คาดกันจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในครม.หลังร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 64 ผ่านสภา น่าจะยืดเยื้อออกไป ด้วยเหตุผลไม่มีคนที่เหมาะสมจะเข้ามาดูแลงานด้านเศรษฐกิจในส่วนของฝ่ายสืบทอดอำนาจ
จากเหตุผลที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้แล้ว เดิมทีก็เข้าใจว่าในระดับหัวที่จะมาแทนเฮียกวงน่าจะพอหาคนนอกที่มีชื่อเสียงมาช่วยประคับประคองกันได้บ้าง แต่ผลการเจรจาปรากฏว่าเป้าหมายเซย์โน มันจึงไม่เหลือตัวเลือกใดให้มาทดแทนของเดิมที่มีอยู่แล้ว ประกอบกับท่านผู้นำเป็นคนที่ไม่ชอบทิ้งใครไว้ข้างหลังและทีมงาน 4 กุมารก็เป็นลูกรักมาโดยตลอด เมื่อไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าก็ไม่ควรจะหักหาญน้ำใจกันและก็เท่ากับเป็นการยอมรับการตัดสินใจผิดพลาดตลอดเวลากว่า 6 ปีที่ผ่านมาของตัวเองด้วย
ขณะที่พรรคสืบทอดอำนาจก็จนปัญญากันจริง ๆ เดิมทีเข้าใจว่าการโยนชื่อ “เจ๊บิ๊กอาย” ให้สังคมพิจารณา แม้จะไม่เปรี้ยงปร้าง แค่คนรู้สึกเฉย ๆ ก็ยังพอจะถูไถกันไปได้ แต่พอมีแต่เสียงยี้เลยไปกันไม่เป็น ครั้นหันไปมองพวกเดียวกันเอง ก็มีแต่พวกสันหลังหวะทั้งนั้น ยิ่งความสามารถในเชิงบริหารด้วยแล้ว แทบไม่ต่างจากคนที่นั่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลในปัจจุบัน ดังนั้น จึงเป็นเดิมพันของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเมื่อเม็ดเงิน 3.3 ล้านล้านผ่านไปใช้ได้แล้ว จะแปรสภาพให้เห็นผลได้อย่างไร
แต่จนถึงเวลานี้ฝ่ายที่ถือหางต่างส่ายหน้ากันเป็นแถว เพราะก่อนจะไปถึงเงินงบประมาณปี 64 ยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน เอาเงินส่วนแรกจากพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับคือทั้ง 1 ล้านล้านในส่วนของการเยียวยาและฟื้นฟูที่อยู่ในมือรัฐบาล และ 9 แสนล้านในความดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พากันไปให้รอด สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์เสียก่อน ทว่ามาจนถึงนาทีนี้ยังมะงุมมะงาหรากันอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเงินกู้ฟื้นฟู 4 แสนล้าน แค่เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลนยังเป็นปัญหาต้องมาแก้กติกากันอีกกระทอก
ตรงนี้เป็นสิ่งบ่งบอกได้ชัดว่า การบริหารงานของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลนั้น นอกจากมีไอเดีย เสนอแนวคิด แนะแนวทางตามสไตล์เทคโนแครตทั้งหลายแล้ว ภาคปฏิบัติถือว่าเป็นปัญหาทุกครั้ง เห็นได้ชัดจากเงินเยียวยา 5 พันบาท คิดได้แต่ทำไม่เป็นมันก็เปล่าประโยชน์ เหมือนมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ซักอย่าง ทำได้แค่ข่มขู่ ล้างบางพวกที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้าหรือฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ส่วนที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและเป็นคุณกับตัวเองและพรรคพวกถือว่าบ่มิไก๊ไร้น้ำยาจริง ๆ